บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยกทัพยานยนต์พรีเมียมและเทคโนโลยีล้ำยุค สู่งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 35
ไฮไลท์จากบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ
บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive30d M Sport ใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู M2 Competition ใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Convertible Edition 30 Years ใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine และ M Sport รุ่นประกอบในประเทศ
มินิ แฮทช์ 3 ประตู และ 5 ประตู Oxford Edition
รถยนต์ต้นแบบ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ จีพี
สัมผัสรถบีเอ็มดับเบิลยูเสมือนจริงผ่าน HTC Vive VR Headset
เครื่องแบบใหม่ของผู้ให้คำปรึกษาทางด้านการขายบีเอ็มดับเบิลยู รังสรรค์โดย POEM
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมยกทัพนวัตกรรมยานยนต์ระดับพรีเมียม ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มุ่งหน้าสู่งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 35 ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2561 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี นำขบวนโดยบีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ใหม่ สมาชิกใหม่ในเซกเมนต์สปอร์ตลักชัวรี่ ที่ผสมผสานลุคสปอร์ตสุดโฉบเฉี่ยวเข้ากับความเรียบหรูได้อย่างลงตัว บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive30d M Sport ใหม่ ที่มาพร้อมดีไซน์ปราดเปรียวและการขับขี่ที่เหนือระดับ
บีเอ็มดับเบิลยู M2 Competition ใหม่ เครื่องยนต์ทรงพลัง ดุดันเต็มพิกัดในขนาดกะทัดรัด บีเอ็มดับเบิลยู M4 Convertible Edition 30 Years ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ แต่ยังคงเอกลักษณ์การเป็นรถยนต์เปิดประทุนสมรรถนะสูง และปิดท้ายด้วย บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine และ M Sport รุ่นประกอบในประเทศ
ที่ตอกย้ำถึงความก้าวหน้าและความสำเร็จของโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยองได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้มินิ ยังเตรียมต้อนรับแฟนๆ ด้วยรถยนต์มินิ แฮทช์ Oxford Edition 3 ประตู และ 5 ประตู ใหม่และพร้อมเผยโฉมรถยนต์ต้นแบบ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ จีพี เจ้าสนามแข่ง ที่จะมาปรากฏตัวให้ยลโฉมกันเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มร.คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 35 สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเราที่มีต่อโลกของการขับขี่และการเดินทางในอนาคต ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ว่า “ขับสนุก! ก่อนยุคไร้คนขับ” ถึงแม้ว่าเราจะยังคงค้นหาและสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในด้านเทคโนโลยีการขับขี่แบบอัตโนมัติ ผ่านทางรถต้นแบบล้ำยุคอย่าง BMW Vision iNEXT และกลยุทธ์ ACES (Autonomous, Connected, Electrified, Shared) แต่ในขณะเดียวกัน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก็ยังคงมุ่งมั่นมอบความสุขให้กับทุกคนที่รักการขับขี่ด้วยตนเองเช่นกัน และทัพยนตรกรรมที่เราจะนำเสนอภายในงาน ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยรถยนต์รุ่นใหม่จากทั้งตระกูล M และ X ไปจนถึงมินิ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นนี้ได้อย่างดี”
ท่องไปในโลกเสมือนจริงด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยจากบีเอ็มดับเบิลยู
อีกหนึ่งนวัตกรรมสุดล้ำสมัยที่บูธบีเอ็มดับเบิลยูในปีนี้คืออุปกรณ์ HTC Vive VR Headset ซึ่งจะมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่สมจริงให้ลูกค้า ถือเป็นก้าวแรกในการใช้เทคโนโลยี VR นำเสนอรถยนต์ให้ลูกค้าได้สัมผัสในทุกรายละเอียด ช่วยในการเลือกรถยนต์และช่วยตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการลองเลือกชุดแต่ง
และสีได้ตามใจชอบ รวมไปถึงได้สัมผัสรายละเอียดเบาะที่นั่ง และความแวววาวของตัวรถจากแสงตกกระทบยามค่ำคืน
อุปกรณ์เฮดเซ็ตนี้ประกอบไปด้วยหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงสองจอ พร้อมด้วยระบบติดตามตำแหน่งของผู้สวมใส่ด้วยเลเซอร์ ครอบคลุมพื้นที่ขนาด 5×5 เมตรในแอปพลิเคชันโลกเสมือนจริงของบีเอ็มดับเบิลยู สำหรับภาพกราฟฟิกภายในแอป พัฒนาขึ้นจากซอฟต์แวร์ Unreal Engine 4 โดยบริษัท เอพิค เกมส์
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ที่มีภาพสวยงามที่สุดในตลาด จึงทำให้ลูกค้าเห็นภาพรถยนต์ที่สมจริงในทุกองศา ตอบสนองต่อทุกการเคลื่อนไหวของผู้สวมเฮดเซ็ตได้อย่างรวดเร็วด้วยการแสดงผลที่ความเร็ว 90 เฟรมต่อวินาที ทั้งนี้ อุปกรณ์ VR ชุดนี้ทำงานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่ใช้ฮาร์ดแวร์รุ่นล่าสุดอันทรงพลัง พร้อมด้วยระบบทำความเย็นด้วยน้ำ เพื่อสรรสร้างภาพกราฟฟิกที่สวยสมจริงเหนือจินตนาการ
บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ใหม่
ราคาจำหน่าย: 12,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
พบกับนิยามใหม่ของรถสปอร์ตคูเป้กับ บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ยนตรกรรมที่ผสานขุมพลังความสปอร์ตปราดเปรียวเหนือระดับและความหรูหราล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ การเปิดตัวสมาชิกรุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 8 ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวใหม่แห่งความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู
ในเซกเมนต์รถสปอร์ต และยังถือเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของบีเอ็มดับเบิลยูในตลาดยานยนต์ระดับพรีเมียม
บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ใหม่ พร้อมอวดโฉมสุดโฉบเฉี่ยวด้วยแนวทางการดีไซน์รูปแบบใหม่อันทรงพลัง กับรูปทรงที่ลาดต่ำ เน้นย้ำถึงความแกร่งด้วยเส้นสายและโค้งเว้าอันสง่างาม ทั้งที่บริเวณกระโปรงหน้าและตลอดแนวตัวถัง เอกลักษณ์กระจังหน้าทรงไตคู่ของบีเอ็มดับเบิลยูมาในขนาดใหญ่ขึ้น ช่วงล่างของกระจังหน้ากว้างออกเพื่อเน้นย้ำถึงจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำของตัวรถ ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ทั้งสองข้างช่วยเสริมสมรรถนะด้านแอโรไดนามิกส์ของตัวรถ คู่ไปกับสปอยเลอร์หน้าที่ทำหน้าที่ลดแรงยกบริเวณเพลาหน้า นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ใหม่ยังมาพร้อมไฟหน้า LED ที่ติดตั้งระบบ BMW Laserlight ในรูปทรงที่เล็กเรียวกว่าไฟหน้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นอื่นๆ โดยไฟหลักทั้งสองดวงนำมาใช้งานได้ทั้งสำหรับไฟขับขี่ในเวลากลางวัน (daytime driving lights) และการควบคุมไฟสูง-ต่ำแบบอัตโนมัติด้วย High-beam assistant ให้ด้านหน้าของตัวรถมีรูปลักษณ์ที่คุ้นตาในสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูในทุกช่วงเวลาของการขับขี่
เสียงคำรามของเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo V8 รุ่นพัฒนาใหม่ล่าสุด และความเร้าใจจากสมรรถนะที่เหนือระดับยิ่งขึ้นจากชุดแต่ง M Performance ล้วนกระตุ้นการสูบฉีดของอะดรีนาลีน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe โลดแล่นด้วยขุมพลังเบนซิน 8 สูบ ขนาด 4.4 ลิตร ส่งกำลังสูงสุด 390 กิโลวัตต์/530 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 4,600 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.7 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โครงสร้างตัวถัง เทคโนโลยีการขับขี่ และระบบช่วงล่าง ได้รับการออกแบบมาเพื่อสมรรถนะการขับเคลื่อนชั้นเลิศ ที่พบได้เพียงจากรถสปอร์ตระดับแถวหน้าอย่างบีเอ็มดับเบิลยู M8 และบีเอ็มดับเบิลยู M8 GTE ที่เป็นรถแข่ง Endurance เท่านั้น สปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่นี้ มาพร้อมการกระจายน้ำหนักอย่างสมมาตร พร้อมโครงสร้างตัวถังและระบบขับเคลื่อนทำจากวัสดุอะลูมิเนียม แมกนีเซียม และคาร์บอนไฟเบอร์ ที่มีคุณสมบัติความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาพิเศษ
บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ยังมาพร้อมระบบ Driving Experience Control เพิ่มความสนุกสนานให้แก่การขับขี่ด้วยโหมด ADAPTIVEพร้อมรองรับการตั้งค่าขับขี่ในโหมด COMFORT และ ECO Pro หรือโหมด SPORT และ SPORT+ ให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ในเมืองได้อย่างคล่องตัว หรือโลดแล่นในระยะไกลได้อย่างราบรื่นและด้วยชุดแต่ง M Performance บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ใหม่ ยังโดดเด่นด้วยจิตวิญญาณของมอเตอร์สปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างแบบ Adaptive M Suspension Professional สปอยเลอร์หลังแบบ M ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาลาย Y-spokeขนาด 20 นิ้ว พวงมาลัยหนังมัลติฟังก์ชั่น M พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ เสริมลุคสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่งภายนอกสีดำเงา ภายในตกแต่งด้วยสแตนเลสสตีล และผลึกแก้ว ‘CraftedClarity’ รวมถึงไฟบริเวณขอบประตูที่ส่องสว่างด้วยเอกลักษณ์ชื่อรุ่นภายในของบีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupeสง่างามด้วยการดีไซน์และคัดเลือกวัสดุคุณภาพพรีเมียมที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันเพื่อความพึงพอใจของทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร การออกแบบแผงหน้าปัดตอกย้ำถึงการมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้ขับขี่ ขณะที่ผลึกแก้วที่ตกแต่งบริเวณคันเกียร์พร้อมสัญลักษณ์เลข 8 ปุ่ม iDrive ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และปุ่มควบคุมเสียง ล้วนเสริมบรรยากาศความหรูหราอย่างลงตัว
นอกจากนี้ ตัวรถยังมาพร้อมเบาะหน้า-หลังแบบใหม่ในสไตล์สปอร์ต หุ้มด้วยหนังแท้ Merino พร้อมด้วยตำแหน่งของที่นั่งที่มีระดับต่ำลง จึงสามารถมอบความสะดวกสบายได้โดยปราศจากที่รองศีรษะ
บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe นี้ ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสู่ยุคแห่งยานยนต์ไร้คนขับ ด้วยระบบ Parking Assistant Plus และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ล้ำสมัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติที่สามารถตรวจจับรถและคนเดินถนนด้วยความเร็วต่ำ (Person Warning with City Braking Function) ระบบเตือนเพื่อป้องกันการชนด้านหลัง (Rear-collision prevention) ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร (Lane Departure Warning)ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตา (Blind spot detection) ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง (Crossing-traffic warning rear) และระบบเตือนป้ายจราจร (Speed limit info and no-overtaking indicator) ซึ่งรถยนต์สปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ยังแสดงผลด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลเต็มรูปแบบ และหน้าจอ Control Display ขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึง BMW Head-Up Display เวอร์ชั่นล่าสุด ฉายภาพขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 16% ในรูปแบบสามมิติ
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ใหม่ ยังสามารถเพลิดเพลินกับการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดจาก BMW ConnectedDriveระบบ iDrive ใหม่ล่าสุด และ BMW Gesture Control ซึ่งติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่
บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive30d M Sport ใหม่
ยังไม่ประกาศราคาอย่างเป็นทางการ
บีเอ็มดับเบิลยู ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่รถยนต์ในกลุ่ม Sports Activity Vehicle อีกครั้ง ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู X5 เจเนอเรชั่นที่ 4 ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานสมรรถนะและความสะดวกสบายอย่างเหนือระดับ
บีเอ็มดับเบิลยู X5 ใหม่ ยังคงรูปลักษณ์อันเฉพาะตัวของ Sports Activity Vehicle แต่มาในดีไซน์ใหม่ที่เรียบหรูยิ่งขึ้น ด้วยพื้นผิวตัวถังที่ราบเรียบ ตัดกับเส้นสายที่เฉียบคมและดุดัน เพิ่มลุคสง่างามให้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู X5 รุ่นล่าสุดนี้ และนอกจากนี้ ตัวรถยังมีขนาดใหญ่ขึ้น ยาว 4,922 มิลลิเมตร กว้าง 2,004 มิลลิเมตร และสูง 1,745 มิลลิเมตร ให้ความรู้สึกโปร่งสบายแก่ผู้โดยสาร พร้อมปริมาตรในการบรรจุของ 650-1,870 ลิตร
บีเอ็มดับเบิลยู X5 ใหม่ ปราดเปรียวยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่ง M Aerodynamics เสริมลุคสปอร์ตด้วยขอบหน้าต่างและราวหลังคาสีดำเงา กระจังหน้าทรงไตคู่ที่มีผิวอลูมิเนียมแบบด้าน พร้อมให้ความรู้สึกทรงพลังด้วยชุดเบรกและช่วงล่างแบบ M Sport และล้ออัลลอย M ขนาด 22 นิ้ว ลาย Double-spokeเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Steptronic ทำงานคู่กับเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขับเคลื่อนบีเอ็มดับเบิลยู X5 ใหม่ด้วยกำลังสูงสุด 195 กิโลวัตต์ / 265 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตรที่ 2,000-2,500 รอบต่อนาที ส่งพลังให้เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บีเอ็มดับเบิลยู X5 ยังคล่องตัวด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อบีเอ็มดับเบิลยู xDrive เจเนอเรชั่นล่าสุดที่ได้รับการพัฒนากำลังขับเคลื่อนและควบคุมการทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการถ่ายแรงขับเคลื่อนอย่างนุ่มนวลระหว่างล้อหลังทั้งสองข้างบนเส้นทางออนโรดและออฟโรด บีเอ็มดับเบิลยู X5 ใหม่ ยังมาพร้อมช่วงล่างแบบ Adaptive M ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (Dynamic Traction Control) ระบบ Driving Experience Control สำหรับเลือกรูปแบaบการขับขี่พร้อมโหมด ECO PROและระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (Dynamic Stability Control) เพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่บนเส้นทางออฟโรด พร้อมมอบความสปอร์ตคล่องตัวและความสะดวกสบายได้ตลอดเส้นทาง
ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู X5 ใหม่ มอบความรู้สึกหรูหราและมีระดับ ด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยม ดีไซน์ที่ลงตัว และระบบการควบคุมที่ล้ำสมัย แผงหน้าปัดดิจิทัลและจอ Control Display ได้รับการออกแบบทั้งกราฟฟิคและดีไซน์มาให้สอดรับกัน พร้อมด้วยเบาะนั่งหนังแท้ Dakota และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ M Sport ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่โดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู X5 ใหม่ ยังมีหลังคากระจกแบบ Panorama ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเก่า 30% นอกจากความสะดวกสบายและความเหนือระดับยิ่งขึ้นแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู X5 ใหม่ยังสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างหลากหลาย เบาะหลังพับได้แบบ 40 : 20 : 40 รองรับปริมาตรการบรรจุของตั้งแต่ 645ลิตรถึง 1,870 ลิตร พร้อมประตูท้ายที่สามารถแยกเปิดสองส่วนเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายสัมภาระ ซึ่งสามารถเปิดปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ล้ำสมัย เช่น ระบบ Parking Assistant Plus ที่มาพร้อมกับระบบช่วยถอยรถในทิศทางเดิมแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ตัวรถสามารถจดจำทิศทางที่ขับตรงไปข้างหน้าในระยะ 50 เมตรสุดท้าย ด้วยความเร็วไม่เกิน 36 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ และสามารถถอยออกในทิศทางเดิมแบบอัตโนมัติ ทั้งนี้ Parking Assistant Plus มาพร้อมกับกล้องมองรอบทิศทาง Surround View Camera รวมทั้งวิวด้านบน วิวพาโนรามิค และรีโมท 3Dวิวที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อเพื่อดูภาพของรถที่จอดทางโทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ ผ่านระบบ BMW ConnectedDrive นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบ Driving Experience Control เลือกรูปแบบการขับขี่พร้อม ECO PRO ที่ได้รับการติดตั้งเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในบีเอ็มดับเบิลยู X5 ใหม่ อีกหนึ่งความพิเศษของ Sports Activity Vehicle รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ คือระบบ BMW Live Cockpit Professional ที่โดดเด่นด้วยจอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมการเชื่อมต่อที่ครบครัน ส่วน BMW Head-Up Display เจเนอเรชั่นล่าสุด ขนาด 7x3.5 นิ้ว สามารถแสดงภาพกราฟฟิคสามมิติได้ ขณะที่ระบบควบคุมผ่าน iDrive, BMW Gesture Control และจอ Control Display ระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ก็ยังเป็นทางเลือกเพื่อมอบที่สุดแห่งความสะดวกสบายแก่ผู้ขับขี่ นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive30d M Sport ใหม่ ยังมาพร้อม BMW ConnectedDrive มอบบริการการเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัดระหว่างยานยนต์และผู้ขับขี่
บีเอ็มดับเบิลยู M2 Competition ใหม่
ราคาจำหน่าย: 6,299,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
บีเอ็มดับเบิลยู M2 รุ่นในดวงใจของแฟน ๆ ตระกูล M หวนคืนสู่วงการรถสปอร์ตสมรรถนะสูงอีกครั้งในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู M2 Competition เสริมความแรงต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู M2 Coupé ด้วยขุมพลังเบนซิน 6 สูบ ขนาด 3 ลิตรพร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ส่งพลังสูงสุด 302 กิโลวัตต์/410 แรงม้า ที่ 5,230 – 7,000 รอบต่อนาที เพิ่มขึ้นจาก M2 Coupe ถึง 40 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 465 นิวตันเมตร เป็น 550 นิวตันเมตร ที่ 2,350 – 5,230 รอบต่อนาที โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.2 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำงานเข้าจังหวะกับเกียร์อัตโนมัติ M แบบคลัตช์คู่ พร้อม Drivelogic และระบบระบายความร้อนที่ได้รับการพัฒนาให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยรักษาระดับอุณหภูมิที่เหมาะสมได้
รูปโฉมของบีเอ็มดับเบิลยู M2 Competition จะยังคงรักษารูปลักษณ์ในภาพรวมของตระกูล M2 ไว้อย่างครบถ้วน แต่ก็ยังมาพร้อมกับรายละเอียดการดีไซน์ต่าง ๆ ที่ปรับเปลี่ยนไป ทั้งในด้านรูปโฉมและสมรรถนะ นับตั้งแต่สีตัวถังใหม่ล่าสุด Metallic Hockenheim Silver มุมมองด้านหน้าของตัวรถดุดันยิ่งขึ้นด้วยช่องดักอากาศขนาดใหญ่ และกระจังหน้าทรงไตคู่แบบสองซี่สีดำเงา เพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของอากาศและการทำงานของเครื่องยนต์ กระโปรงหน้าได้รับการออกแบบเพื่อพัฒนาอากาศพลศาสตร์และเน้นย้ำถึงมิติความกว้างของตัวรถ กระจกข้างแบบก้านคู่ให้ลุคเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้น รับกับล้ออัลลอยสไตล์ M ขนาด 19 นิ้วสีดำลาย Y-spoke เสริมลุคสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยท่อไอเสียแบบคู่ควบคุมวาล์วด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดีไซน์ภายในตัวรถของบีเอ็มดับเบิลยู M2 Competition มุ่งเน้นความพรีเมียมและความสะดวกสบายด้วยเบาะที่นั่งสปอร์ตหนังแท้Dakota แบบใหม่พร้อมที่หนุนหลังปรับไฟฟ้าและที่รองศีรษะในตัว มอบบรรยากาศเร้าใจจากชุดแต่งภายในด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และเข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M ระบบความบันเทิงและการสื่อสารล้ำสมัยด้วยจอ Control Display ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมระบบ iDrive และการเชื่อมต่อแห่งอนาคตจากBMW ConnectedDrive รวมถึงแท่นชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟน
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Convertible Edition 30 Years ราคาจำหน่าย: 8,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ขุมพลังจากรถเปิดประทุนตระกูล M ใด้ครองใจแฟน ๆ ทั่วโลกด้วยอิสรภาพแห่งความเร้าใจจากการควบคุมที่แม่นยำและสมรรถนะอันปราดเปรียว และในโอกาสนี้ บีเอ็มดับเบิลยูกลับมาสร้างปรากฎการณ์อีกครั้งด้วยบีเอ็มดับเบิลยู M4 Convertible Edition 30 Years รุ่นพิเศษที่ผลิตมาในจำนวนจำกัดเพียง 300 คันทั่วโลก และเพียง 2 คันในประเทศไทย เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองสามทศวรรษแห่งความสำเร็จดังกล่าว
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Convertible Edition 30 Years โลดแล่นด้วยขุมพลังเบนซิน 6 สูบ ส่งพละกำลังสูงสุดที่ 331 กิโลวัตต์ / 450 แรงม้า เสริมสมรรถนะความแรงเร้าใจด้วยชุดแต่ง M Competition ที่มีทั้งโหมดการขับขี่ M Drive ช่วงล่างแบบ adaptive M ที่สามารถตั้งค่าโหมด SPORT เพื่อความมันส์ในการขับขี่ และระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (Dynamic Stability Control) พร้อมโหมด M Dynamic (MDM) นอกจากสมรรถนะระดับรถแข่งแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู M4 รุ่นพิเศษนี้ยังมีตัวถังวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) และรูปทรงสุดเพรียวลมที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ตที่จุดประกายนำทางไปสู่การสร้างสรรค์บีเอ็มดับเบิลยู M3 Convertible รุ่นแรก ในฐานะต้นตำรับของความแรงแบบเปิดประทุนจากบีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู M4 Convertible Edition 30 Years พร้อมสะกดทุกสายตาในสีเหลือง Mandarin II และสีฟ้าเมทัลลิก Macao Blue ที่ตัดกับขอบหน้าต่างแบบ BMW Individual High-Gloss Shadow Line กระจังหน้าทรงไตคู่ ช่องระบายอากาศด้านข้างสไตล์ M และสัญลักษณ์ชื่อรุ่น ทั้งยังพิเศษยิ่งขึ้นด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบ M ขนาด 20 นิ้วลาย Star-spoke ในสี Orbit Grey ที่ได้รับการดีไซน์มาอย่างเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะสำหรับรุ่นพิเศษนี้
ภายใน บีเอ็มดับเบิลยู M4 Convertible Edition 30 Years ทั้งเบาะนั่ง ที่วางแขน และแผงประตูบุด้วยหนังแท้ Merino พร้อมดีไซน์ภายในพิเศษในสีดำตัดฟ้า Black/Fjord Blue เข้ากันอย่างลงตัวกับสีตัวถังสีฟ้าเมทัลลิก Macao Blue และเส้นตะเข็บสีเหลืองบนพื้นและเบาะหนังแท้ Merino สีดำสำหรับตัวรถในสีเหลือง Mandarin II ขณะที่ตะเข็บบริเวณเบาะรองศีรษะและพรมปูพื้นรถในดีไซน์ M ก็มาพร้อมกับโทนสีที่ตัดกับพื้นผิวอื่นๆ เพื่อสร้างสีสันอย่างลงตัว พร้อมวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ภายในห้องโดยสารที่มาเป็นมาตรฐานในทุกสี
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู M4 Convertible Edition 30 Years ยังตอกย้ำความพิเศษของการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีด้วยการจารึกอักษร “30 Jahre Edition” ลงบนขอบประตูและเบาะรองศีรษะ ขณะที่แผงคอนโซลหน้ารถในฝั่งที่นั่งผู้โดยสารก็มีการสลักอักษรดังกล่าว พร้อมด้วยตัวเลข“1/300” เพื่อเน้นย้ำถึงความเอ็กซ์คลูซีฟของรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine และ M Sport รุ่นประกอบในประเทศ
ราคาจำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine: 3,359,000 บาท (รวมภาษี และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
ราคาจำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport: 3,659,000 บาท (รวมภาษี และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
หลังจากที่ได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู X3 เจนเนอเรชั่นที่ 3 ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แฟนๆ ชาวไทยจะได้สัมผัสและเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X3xDrive20d xLine และบีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport รุ่นประกอบในประเทศ จากสายการผลิตของโรงงานที่จังหวัดระยอง ในราคาที่ลดลงถึง 340,000 บาทสำหรับรุ่น xLine และ 140,000 บาทสำหรับรุ่น M Sport แต่ยังคงเอกลักษณ์ความแข็งแกร่งบนท้องถนนและลุคสปอร์ตปราดเปรียวไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine มาพร้อมกับล้ออัลลอยลาย Y-spoke ขนาด 19 นิ้ว ภายนอกตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมแบบด้าน ส่วนบีเอ็มดับเบิลยูX3 xDrive20d M Sport มาพร้อมกับล้ออัลลอย M ลาย Double-spoke ขนาด 19 นิ้ว เสริมความสะดุดตาด้วยชุดตกแต่งรอบคันดีไซน์ M Aerodynamics และขอบหน้าต่างสีดำเงา
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine และ บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ดีเซลทรงพลัง 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Steptronic และเสริมด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยในรุ่น M Sport ทั้งสองรุ่นให้กำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 8 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.6 กิโลเมตรต่อลิตร และระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ยที่ 150 กรัมต่อกิโลเมตร ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport เสริมสมรรถนะแบบสปอร์ตด้วยช่วงล่าง M Sport
ภายในห้องโดยสารตกแต่งแบบคลาสสิกหรูหราในแบบฉบับบีเอ็มดับเบิลยู ยกระดับความสะดวกสบายขึ้นอีกขั้นด้วยเบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับและเบาะนั่งตอนหน้าแบบ M Sport คอนโซลด้านบนหุ้มด้วยหนัง Sensatec และเสริมบรรยากาศด้วยชุดไฟ ambient lightภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยไม้ลาย Fineline Anthracite พร้อมแถบโครเมียมในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู X3xDrive20d M Sport เสริมลุคพรีเมียมด้วยการตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมพ่นลาย เพิ่มความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ M Sport และแป้นเปลี่ยนเกียร์ ทั้งยังเสริมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ และกล้องมองหลัง เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและแม่นยำในทุกเส้นทาง
รถยนต์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมปุ่มควบคุม iDrive และสั่งงานด้วยระบบสัมผัสจอแสดงผลภาพความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ระบบการสั่งงานอัจฉริยะBMW Gesture Control ที่สามารถควบคุมระบบนำทางและระบบบันเทิงสื่อสาร ผ่านการเคลื่อนไหวของมือ และการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานโดยใช้ภาษาพูดในชีวิตประจำวันแทนที่การใช้ชุดคำสั่งที่กำหนดมา ส่วนในรุ่น M Sport จะมีระบบจอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ในระดับสายตา (BMW Head-up Display) และระบบเสียง HiFi loudspeaker
ไฮไลท์รถยนต์มินิในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 35
มินิ แฮทช์ 3 ประตู และ 5 ประตู Oxford Edition
มินิ แฮทช์ 3 ประตู คูเปอร์ เอส ราคาจำหน่าย: 2,819,999 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
มินิ แฮทช์ 5 ประตู คูเปอร์ เอส ราคาจำหน่าย: 2,859,999 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู และ แฮทช์ 5 ประตู Oxford Edition เป็นมินิรุ่นพิเศษที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเพียง 60 คันเท่านั้น โดยมาพร้อมเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากรุ่นปกติมากมาย นับตั้งแต่ตัวถังสีแดง Pure Burgundy ตัดด้วยหลังคาสีดำและกระจกมองข้างสี Melting Silver มีลูกเล่นรอบคันด้วยอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นล้ออัลลอยลายขนาด 17 นิ้ว สีดำลาย Cosmos Spoke สะดุดตาด้วยสติ๊กเกอร์ลายทางคู่อันเป็นเอกลักษณ์ที่บริเวณด้านหน้ารถ ด้านหลังรถ และมือจับประตู ส่วนฝาปิดถังน้ำมัน กรอบไฟหน้าหลัง ดุดันด้วยสี Piano Black ทำให้ตัวรถโดยรวมมีความสปอร์ตเร้าใจในสไตล์มินิ ขณะที่ไฟท้ายยังโดดเด่นด้วยรูปทรงและเส้นไฟ LED ลายธงยูเนียนแจ็ค สะท้อนความเป็นแบรนด์สัญชาติอังกฤษอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ รุ่นพิเศษ Oxford Edition ยังเป็นครั้งแรกของมินิในการนำเทคโนโลยี 3D Printing หรือการพิมพ์แบบ 3 มิติ มาใช้เสริมสร้างรถยนต์รุ่นนี้ให้มีเอกลักษณ์แตกต่างมากยิ่งขึ้น โดยบริเวณแถบด้านข้างจะประทับชื่อรุ่น ‘OXFORD’ ไว้อย่างเด่นชัด ส่วนภายในของตัวรถ ถือว่าตอกย้ำคาแรคเตอร์ในสไตล์อังกฤษด้วยไฟเรืองแสงลายธงยูเนียนแจ็คบริเวณคอนโซลด้านหน้า แถมเบาะนั่งและพวงมาลัยก็ตกแต่งด้วยลายธงยูเนียนแจ็คเช่นเดียวกัน
มินิ แฮทช์ คูเปอร์ เอส Oxford Edition มาพร้อมกับขุมพลังเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมระบบส่งกำลังด้วยคันเกียร์ที่เป็นระบบไฟฟ้า เกียร์อัตโนมัติ Steptronic 7 สปีด คลัตช์คู่ (Double Clutch Transmission) ที่มอบจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและไหลลื่นยิ่งขึ้น เร่งความเร็วได้ทันใจ รวมถึงมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้นกว่าเดิม และระบบช่วงล่างแบบ Adaptive ที่รองรับแรงกระแทกและเพิ่มความนุ่มนวล ทำให้ขับขี่ได้คล่องตัวและพร้อมตอบสนองความท้าทายทุกโจทย์บนท้องถนน
นอกจากนี้ มินิ แฮทช์ Oxford Edition ยังมาพร้อมกับระบบแสดงผลด้วยจอระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้วที่อยู่บริเวณกลางแผงคอนโซลรถ พร้อมระบบนำทางเชื่อมต่อกับกล้องมองหลัง ทำให้การจอดเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยขึ้น และรองรับเทคโนโลยี MINI Connected ที่จะเชื่อมต่อฟังก์ชั่นต่างๆ บนรถยนต์กับสมาร์ทโฟนได้อย่างไร้รอยต่อ
รถยนต์ต้นแบบ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ จีพี
จากชัยชนะในการแข่งขันมอนติคาร์โล แรลลี เมื่อปี พ.ศ. 2510 สู่แรงบันดาลใจเบื้องหลังแนวคิดของรถยนต์ต้นแบบ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ จีพี ที่สะท้อนถึงความปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว และหัวใจของโลกมอเตอร์สปอร์ตอย่างแท้จริงในสไตล์มินิ โดยถือเป็นการสานต่อตำนานของมินิตัวแรงหลายรุ่น อย่าง มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ จีพี รุ่นปี 2012 และ มินิ คูเปอร์ เอส รุ่นปี 2006 ที่มาพร้อมชุดแต่งจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ จีพี
รถยนต์ต้นแบบ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ จีพี นั้นมาในสีดำ Black Jack Anthracite ที่เหลือบเป็นประกายสลับสีเทาและดำ ตัดกับสีแดง Curbside Red และสีส้ม High Speed Orange เพิ่มความร้อนแรงและเน้นให้เห็นดีไซน์อันโฉบเฉี่ยวของตัวรถ โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยความกว้างของลิ้นหน้าทรงกวาดพื้นขนาดใหญ่ กระจังรังผึ้งด้านหน้า และกันชนหลัง พ่วงด้วยสเกิร์ตด้านข้างและสปอยเลอร์บนหลังคา การใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาพิเศษทำให้รถมีน้ำหนักเบาและมีการกระจายน้ำหนักที่สมดุล ให้ความแรงลู่ลมในสไตล์รถแข่งโกคาร์ทแบบฉบับมินิที่แท้จริง
สำหรับดีไซน์ในส่วนท้ายรถ ผสมผสานความงดงามและความแข็งแกร่งเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยท่อไอเสียคู่ติดตั้งตรงกลางกันชน สะท้อนดีเอ็นเอรถแข่งตามแบบฉบับของ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แถมเพิ่มเสน่ห์ในสไตล์อังกฤษด้วยไฟท้ายที่มาในดีไซน์ธงยูเนียนแจ็คครึ่งผืน ตอกย้ำถึงความเป็นแบรนด์สัญชาติอังกฤษได้อย่างมีสไตล์
ส่วนการตกแต่งภายในนั้นเน้นความเรียบง่าย เน้นการขับขี่ในสนามแข่งโดยเฉพาะ โดยผสมผสานดีไซน์สปอร์ตเข้ากับรายละเอียดต่างๆ ที่โดดเด่น ตัดด้วยสีสันสะดุดตา ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีขาวตัดด้วยหนังสีดำดุดันจากเบาะรองศีรษะและเบาะที่นั่งกระชับลำตัว นอกจากนี้ รถต้นแบบรุ่นนี้ยังติดตั้งโรลเคจ นิรภัยอลูมิเนียม แผงหน้าปัดสีดำ และระบบควบคุมแบบดิจิทัลในดีไซน์สะอาดตาบนหน้าจอขนาดใหญ่กลางแผงคอนโซลรถ ที่พร้อมให้ผู้ขับขี่ปรับแต่งเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ
ข้อเสนอพิเศษในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 35
ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิที่จองรถยนต์ภายในงานและมีกำหนดรับส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561 จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
- การยกระดับโปรแกรมบำรุงรักษา BSI (BMW Service Inclusive) ยกเว้นรถบีเอ็มดับเบิลยู i
- สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถบีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่น ยกเว้นบีเอ็มดับเบิลยู i เมื่อซื้อโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Ultimate จะได้รับการยกระดับจากระยะเวลาบำรุงรักษา 5 ปี / 100,000 กิโลเมตร เป็น 10 ปี / 100,000 กิโลเมตร*
- การยกระดับโปรแกรมบำรุงรักษา MSI (MINI Service Inclusive)
- สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถมินิทุกรุ่น จะได้รับการยกระดับ MSI Standard ฟรี จากระยะเวลาบำรุงรักษา 3 ปี / 60,000กิโลเมตร เป็น 10 ปี / 100,000 กิโลเมตร**
- สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์ผ่านทาง บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส รับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีเต็ม
- รับฟรี หมวกแก๊ปจาก MINI John Cooper Works พิเศษเฉพาะผู้มาทดลองขับรถยนต์มินิเท่านั้น
*ครอบคลุมการบริการดูแลบำรุงรักษา 10 ปี / 100,000 กม. และครอบคลุมการรับประกันและสมาชิกภาพ BMW Mobility Service เป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
**ครอบคลุมการบริการดูแลบำรุงรักษา 10 ปี / 100,000 กม. และครอบคลุมการรับประกันและสมาชิกภาพ MINI Mobility Service เป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง