เชฟโรเลตแนะนำเคล็ดลับการขับลุยออฟโรดอย่างปลอดภัย
การขับขี่แบบออฟโรดนั้น ผู้ขับขี่จำเป็นต้องมีทักษะและความชำนาญในการขับขี่ และต้องมีความเข้าใจในลักษณะภูมิประเทศและสภาวะต่างๆ รวมถึงเข้าใจในสมรรถนะของรถยนต์ด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าผู้ขับขี่จะมีทักษะและเข้าใจถึงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้วก็ตาม การขับขี่แบบออฟโรดก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อคุณได้ เชฟโรเลตจึงขอแนะนำข้อควรระมัดระวังและการวางแผนในการขับขี่แบบออฟโรด ตลอดจนเคล็ดลับการขับออฟโรดในการเดินทางไปในทุกที่ด้วยรถอเนกประสงค์เทรลเบลเซอร์และรถกระบะโคโลราโด ซึ่งรถทั้งสองรุ่นนั้นเป็นรถที่จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพและความสามารถมากที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดรถยนต์
เตรียมตัวสำหรับการขับเคลื่อน 4ล้อ
โดยปกติทั่วไปแล้วรถอเนกประสงค์และรถกระบะมักจะใช้งานระบบขับเคลื่อนสองล้อเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่สามารถขับเคลื่อนแบบสี่ล้อได้เมื่อต้องขับขี่แบบออฟโรด หรือเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ เช่น ฝนตกหนัก ถนนที่เต็มไปด้วยดินโคลนหรือพื้นผิวถนนที่ลื่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าวการขับขี่โดยใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ระบบการขับเคลื่อนสี่ล้อของรถอเนกประสงค์เทรลเบลเซอร์ และรถกระบะโคโลราโดสามารถช่วยเพิ่มแรงฉุดลากได้ด้วยการถ่ายกำลังของเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้งสี่ล้อ
• ระบบขับเคลื่อนสองล้อด้วยความเร็วสูงหรือโหมดทูไฮ (2H – Two-Wheel Drive High) มักใช้สำหรับการขับขี่บนถนนทั่วไปและไฮเวย์
• ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยความเร็วสูง หรือโหมดโฟร์ไฮ (4H – Four-Wheel Drive High) ใช้เมื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะบนผิวถนนลื่น
• ตำแหน่งเกียร์ว่าง หรือโหมด N (Neutral) ใช้เมื่อต้องลากจูง
• โหมดโฟร์โลว์ (4L- Four-Wheel Drive Low) ใช้เมื่อขับบนทรายหรือดินโคลน หรือเมื่อต้องขึ้น/ลงเนินที่มีความลาดชันสูง
ทำความคุ้นเคยกับรถยนต์ของคุณ
คุณควรรู้ความกว้าง ความสูง สมรรถนะ แรงบิด และระบบช่วยเหลือทั้งหมดของรถคุณ เพื่อที่คุณจะได้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและทันท่วงทีในการใช้รถยนต์ให้เหมาะสมกับถนนที่มีสภาพพื้นผิวที่หลากหลาย ควรทำความเข้าใจกับฟีเจอร์ระบบช่วยเหลือต่างๆ ในรถยนต์ของคุณ รวมถึงระบบเบรกป้องกันล้อล็อค หรือ Antilock Brake System (ABS) ระบบเสริมแรงเบรก (Brake Assist) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว หรือ Electronic Stability Control (ESC) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Grade Braking) โหมดลงทางลาดชัน ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน หรือ Hill Start Assist (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน หรือ Hill Descent Control (HDC) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและการลื่นไถลTraction Control System (TCS)
เตรียมตัวให้พร้อม
เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ต่อไปนี้จะมีประโยชน์ในสภาวะคับขัน ไม่ว่าจะเป็นยางออลเทอร์เรน (AT) และยางอะไหล่ขนาดเท่ายางที่ใช้งาน (full-size) เครื่องวัดความดันของลมในยาง ชุดอุปกรณ์เติมลมยางแบบอิเลคทรอนิกส์ แม่แรงหนุนรถสูง/แม่แรงยกของสูง ชุดรักษาความปลอดภัย รวมถึงชุดปฐมพยาบาล และเครื่องดับเพลิง ชุดวินซ์/กว้าน ยึดหรือผูกกับสายรัด เครื่องมืออเนกประสงค์ พลั่วและขวาน วิทยุสื่อสารคลื่นความถี่ประชาชน (CB) เข็มทิศและไฟฉาย
นั่งในตำแหน่งที่เหมาะสม
สิ่งแรกที่ผู้ขับขี่ควรทำ คือ การปรับตำแหน่งเบาะที่นั่งให้เหมาะสมกับรูปร่างของตนเอง และคาดเข็มขัดนิรภัย เพราะจะช่วยให้ผู้ขับขี่รักษาตำแหน่งที่นั่งได้เมื่อต้องขับขึ้น/ลงเนินเขาที่สูงชัน
จับพวงมาลัยให้ถูกต้อง
วางมือของคุณบนพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา และ 9 นาฬิกา จับพวงมาลัยให้กระชับโดยให้นิ้วโป้งทั้งสองข้างชี้ขึ้น ไม่ควรสอดนิ้วโป้งเข้าไปในพวงมาลัยเมื่อต้องขับขี่แบบออฟโรด เพราะเมื่อรถยนต์ชนกับหินหรืออุปสรรคอื่นๆ พวงมาลัยจะหมุนอย่างรวดเร็วและอาจจะทำให้นิ้วโป้งหรือข้อมือของคุณได้รับบาดเจ็บ
เพิ่มแรงฉุดลาก เมื่อต้องขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ไม่แน่น ลาดชัน หรือเปียกลื่น
ไม่ควรเหยียบคันเร่งมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้รถเสียการทรงตัวบนถนนที่พื้นผิวไม่แน่น ทำให้ควบคุมรถได้ยาก
• ใช้เกียร์ต่ำ และขับช้าๆ
• หากเป็นไปได้ ให้ขับทั้งขึ้นและลงเขา
• ชะลอความเร็วเมื่อใกล้ถึงยอดเขา
• ห้ามลงเขาด้วยเกียร์ว่างในตำแหน่ง N (Neutral)
• เมื่อต้องขับรถลงเขา บังคับพวงมาลัยให้ตรง และใช้เกียร์ต่ำ เพราะกำลังเครื่องจะส่งไปยังเบรก เพื่อชะลอความเร็วและช่วยให้สามารถควบคุมรถยนต์ได้
ออกตัวอีกครั้ง เมื่อเครื่องยนต์ดับ
• เหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ เปลี่ยนเกียร์ให้อยู่ที่ตำแหน่ง P (Park) จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง
• หากรถดับเมื่อกำลังขับขึ้นเขา ให้เปลี่ยนเกียร์ไปที่ R (Reverse) ปล่อยเบรก และถอยตรงลงมา อย่าพยายามกลับรถ ถ้าเนินลาดชันมากจนทำให้เครื่องยนต์ดับได้ ก็สามารถทำให้รถคว่ำได้เช่นกัน
• หากรถดับเมื่อกำลังขับลงเขา ให้เปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำ ปล่อยเบรก และขับตรงลงเขา
• หากไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้งได้ ให้ดึงเบรกมือ เปลี่ยนเป็นเกียร์ P (Park) และดับเครื่อง ลงจากรถและขอความช่วยเหลือ
ขับขี่ผ่านน้ำลึก
• ถ้าน้ำไม่เชี่ยวและระดับน้ำไม่ลึก ให้ขับผ่านอย่างช้าๆ ถ้าขับขี่ด้วยความเร็วสูงเกินไป จะทำให้น้ำเข้าเครื่องยนต์ และสามารถทำให้เครื่องยนต์ดับได้
• ก่อนที่จะขับลงไปในน้ำ ให้ปิดแอร์และเปิดกระจกทั้ง 4 บาน
• ค่อยๆ ขับลงน้ำด้วยความเร็วไม่เกิน 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเพิ่มความเร็วเป็น 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่ออยู่ในน้ำ
• เมื่อขับรถพ้นจากน้ำ ให้เหยียบเบรกหลายๆ ครั้ง เพื่อรีดน้ำออกจากผ้าเบรค