ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์นำเสนอเทคโนโลยีที่ช่วยลดการจราจรติดขัด

ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ได้สาธิตให้เห็นว่าระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างที่มีในรถยนต์เกือบทุกรุ่นของฟอร์ดสามารถลดปัญหาจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทีมนักวิจัยได้จัดการสาธิตที่เชื่อว่าเป็นการทดลองที่ใหญ่และเสมือนจริงที่สุดเท่าที่เคยมีการทดลองแบบนี้เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถลดปัญหาจราจรแบบ Phantom traffic jam ที่ไม่ควรเกิดขึ้นได้

ในสนามทดลองของฟอร์ดในเมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้รถที่ถูกเลือกมาแบบสุ่ม 36 คนให้ทดลองขับรถยนต์ในสภาวะเดียวกับสภาพการจราจรบนไฮเวย์ปกติ โดยใช้ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติที่สามารถเบรกและเร่งความเร็วตามรถคันหน้าโดยไม่สร้างความเหนื่อยล้าให้แก่ผู้ขับขี่ ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ใช้รถดังกล่าวยังต้องลองแบบทดสอบเดียวกันแต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องเบรกและเร่งความเร็วด้วยตัวเอง

ผลปรากฏว่ารถยนต์ที่ใช้ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติช่วยให้การเบรกแบบกะทันหันนุ่มนวลกว่ารถยนต์ที่ผู้ขับขี่ต้องเป็นคนเหยียบเบรกเอง แม้ว่ารถยนต์ในการทดลองจะมีเพียง 1 ใน 3 ที่มีระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ แต่ผลที่ออกมาก็แสดงให้เห็นเหมือนกันว่าระบบนี้สามารถจัดการปัญหาจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“แผนการท่องเที่ยวบนถนนที่น่าสนุกสนานของครอบครัวจะกลายเป็นความน่ารำคาญภายในพริบตาเมื่อคุณต้องเจอกับการจราจรที่เชื่องช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณรู้ว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะต้องมาติดอยู่แบบนี้” ไมเคิล เคน ผู้ดูแลและพัฒนาเทคโนโลยี ฟอร์ด โคไพลอท 360 กล่าว “เราอยากให้ผู้ใช้รถยนต์ฟอร์ด ได้ลองใช้ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติในการท่องเที่ยวครั้งหน้า โดยเราหวังว่าเทคโนโลยีอันชาญฉลาดของเราจะช่วยให้การเดินทางของคุณง่ายขึ้น”

ฟอร์ดได้ติดตั้งระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติในรถยนต์หลายรุ่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

“นักวิจัยการจราจรและวิศวกรได้พยายามคิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดมานานกว่าหลายปี ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่สามารถสื่อสารกันได้ หรือระบบที่ทำให้สามารถคาดการณ์สภาพการจราจรบนถนนข้างหน้าได้” แดเนียล เวิร์ค ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์กล่าว “การทดลองนี้

เป็นโอกาสที่ดีในการทำความเข้าใจว่าระบบช่วยขับขี่ที่มีอยู่ในรถยนต์ในตลาดจะสามารถส่งผลดีต่อการจราจรได้อย่างไร”

แดเนียลและด็อกเตอร์ราฟาเอล สเติร์น นักวิจัยในทีมได้ร่วมกันทำงานโดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ทำการทดสอบว่าเทคโนโลยีอัจฉริยะจะช่วยค้นหาหนทางใหม่ๆ ในการบรรเทาปัญหาจราจรรวมไปถึงการประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างไร โดยทั้งสองได้วางแผนที่จะตีพิมพ์ผลการทดลองของฟอร์ดในบทความวิชาการที่กำลังจะเผยแพร่ในเร็ว ๆ นี้

ปัญหาที่ไร้ต้นตอของ phantom traffic jam

นอกเหนือจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาจราจรติดขัดโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า การขับรถแบบไม่มีสมาธิ พฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่เหมาะสม ตลอดจนการเบรกโดยไม่จำเป็น เช่น การที่รถคันแรกเบรกก็จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ทำให้รถคันหลังเบรกต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้การจราจรต้องหยุดชะงัก

“ปัญหาจราจรแบบ Phantom traffic jam ต่างจากอุบัติเหตุหรือการก่อสร้าง เพราะการจราจรติดขัดแบบนี้เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีสาเหตุ” เวิร์ค อธิบาย “จากพฤติกรรมการขับขี่ของชาวเอเชียส่งผลให้การจราจรติดขัด คิดเป็นเวลาที่เพิ่มขึ้น 52 นาทีโดยเฉลี่ยในแต่ละวัน หรือคิดเป็นจำนวน 13 วันที่เพิ่มขึ้นในหนึ่งปี”

ในปีนี้ฟอร์ดได้เปิดตัว ฟอร์ดโคไพลอท 360 เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ล้ำสมัยซึ่งจะเป็นมาตรฐานเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถสามารถฟันฝ่าไปถึงจุดหมายได้ไม่ว่าสภาพการจราจรจะเป็นอย่างไร

ฟอร์ด โคไพลอท 360 ประกอบด้วยระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่สามารถตรวจจับคนเดินเท้าและนักปั่นจักรยานได้ ระบบตรวจจับรถในจุดบอด ระบบรักษาช่องทางขับขี่ กล้องมองหลัง และระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ สำหรับประเทศไทย รถที่ติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวได้แก่ ฟอร์ด เรนเจอร์ และ ฟอร์ด เอเวอเรสต์

ฟอร์ดสาธิตระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติในการแก้ไขปัญหา Phantom traffic

ในการทดลอง มีถนนสามเลนโดยในแต่ละเลนจะมีรถยนต์ 12 คัน ถนนถูกออกแบบให้เป็นการจราจรแบบปิดรูปวงรีที่จำลองมาจากไฮเวย์ รถคันแรกของแต่ละเลนจะลดความเร็วลงจาก 60 เหลือ 40 ไมล์ต่อชั่วโมง เพื่อเลียนแบบการรบกวนบนท้องถนน สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ที่ไม่ได้ใช้ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติจะทำการเบรกแรงกว่ารถคันหน้าซึ่งส่งผลให้เกิดคลื่นการเบรกต่อไปเรื่อยๆ ในเลน ในอีกนัยหนึ่งก็คือ

การขับรถโดยไม่มีระบบนี้จะทำให้การเบรกมีความแรงมากขึ้นกว่าเดิม ในบางกรณีอาจทำให้การจราจรช้าลงจนกลายเป็นการขยับไปอย่างช้าๆ ได้ในที่สุด

การทดลองดังกล่าวได้จัดขึ้นอีกครั้งโดยครั้งนี้รถยนต์ทุกคันใช้ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ โดยตั้งค่าไว้ที่ 62 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่ารถคันหน้าเล็กน้อยเพื่อให้มั่นใจว่ารถยนต์อยู่ในความเร็วกลุ่มเดียวกัน ในการทดลองนี้ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติสามารถแสดงประสิทธิภาพได้เหนือกว่าการขับขี่ของมนุษย์ในแทบทุกการเบรก

ในรอบหนึ่ง ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติสามารถหยุดปัญหาที่เกิดจากรถคันแรกๆ ชะลอความเร็ว ส่งผลให้รถคันหลังๆ ต้องชะลอตามจนเกิดภาวะลูกโซ่ได้ โดยรถคันสุดท้ายของขบวนมีการลดความเร็วลงเพียง 5 ไมล์ต่อชั่วโมงเท่านั้นแทนที่จะหยุดนิ่ง

“การที่เราได้เห็นระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัตินี้สามารถลดปัญหาการจราจรได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก” เวิร์ค กล่าว “ถึงแม้เราจะรู้ว่าความสำเร็จนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในทุกกรณี แต่มันก็ให้ความหวังว่าระบบนี้สามารถช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้จริงในสภาพการขับขี่ที่เกิดขึ้นในทุกวัน”

ทีมวิจัยยังได้ลองลดจำนวนของพาหนะที่มีระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติลงเหลือเพียง 33 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นจุดที่นักวิจัยเชื่อว่าน้อยที่สุดที่จะสามารถลดปัญหาการจราจรแบบ Phantom traffic ได้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็คล้ายคลึงกับการทดลองที่รถยนต์ทุกคันมีระบบอัจฉริยะนี้

“ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติไม่เคยเหนื่อยหรือถูกรบกวน ระบบนี้ยังคงมองไปที่รถยนต์คันข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ” เคน กล่าว “นอกจากนั้น ระบบนี้ยังถูกโปรแกรมให้เหลือพื้นที่ระหว่างรถอย่างสม่ำเสมอเพื่อการตอบสนองต่อความเร็วและระยะห่างกับรถยนต์คันหน้าได้ดีขึ้น”

ตามคำกล่าวของเวิร์ค ในขณะที่ระบบอัตโนมัติสามารถทำงานได้อย่างสม่ำเสมอ มนุษย์ก็ยังคงมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าระบบเครื่องยนต์ นั่นก็คือทัศนวิสัยที่สามารถมองเห็นรถยนต์ได้ไกลกว่านั่นเอง ซึ่งทำให้มนุษย์ยังสามารถตอบสนองต่อการเบรกหรือลดความเร็วได้แม่นยำกว่า

“สิ่งหนึ่งที่เราได้จากการทดลองทั้งหมดนี้ก็คือการที่ทุกคนได้ประโยชน์จากการฝึกการขับขี่ที่ดี เว้นระยะห่างระหว่างรถคันข้างหน้าอย่างเพียงพอและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่นี้ก็ช่วยให้การจราจรราบรื่นขึ้นและช่วยให้เราทุกคนไปถึงที่หมายได้ตรงเวลา” เคน กล่าวปิดท้าย

รับชมวิดีโอได้ที่นี่ https://youtu.be/VE77mrmeO4A