ลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ขุมพลังไฮบริด
รีวิวรถใหม่2020 : ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ขับครั้งแรก เขาใหญ่ -กรุงเทพ ฯ ระยะทาง 180 กิโลเมตร โคตรประหยัด ทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยน 26.5 กิโลเมตร/ลิตร
แอดมิน มีโอกาสลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ซึ่งเป็นยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล เดอะ ซิตี้ ซีรีส์ เป็นครั้งแรก พร้อมกับมาถ่ายทอดประสบการณ์การขับขี่รถยนต์รุ่นนี้ ว่ามีความน่าสนใจอะไรบ้าง ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแห่งอนาคตแบบ Full Hybrid กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ที่ตอบสนองดี มิลบพิษต่ำ ติดตั้งเทคโนโลยี ความปลอดภัยขั้นสูงที่เรียกว่า ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ดูสปอร์ตรอบคันยด้วยชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน ตอกย้ำความเป็นไฮบริดด้วยโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ครบครันด้วยฟังก์ชันและเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยอันล้ำสมัย
ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ได้รับการออกแบบและพัฒนาต่อยอดจาก ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชันที่ 5 ภายใต้แนวคิด “Ambitious Sedan” ที่มุ่งเน้นการสร้างความมั่นใจและยกระดับการใช้ชีวิตให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น โดยคงไว้ซึ่งดีไซนNที่โดดเด่น ห้องโดยสารที่กว้างขวาง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอันล้ำสมัย สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และคุณภาพของยนตรกรรมฮอนด้า ซึ่งเป็นคุณค่าหลักของฮอนด้า ซิตี้
การออกแบบภายนอก แนวคิด “Standing on the Edge” มีโครงสร้างตัวถังแบบ Wide & Low ดูสปอร์ตปราดเปรียว ดีไซน์สปอร์ต ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ติดตั้งไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED พร้อมกรอบครอบออกแบบสปอร์ตดุดัน ไฟท้ายแบบ LED มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติ เมื่อดับเครื่องยนต์ สำหรับกระจังหน้ารุ่นนี้คือรุ่น RS สีดำแบบ Gloss Black พร้อมโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า (H Mark) กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต ปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว มาพร้อมสปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS และ e:HEV และเสาอากาศแบบครีบฉลาม ด้านล้ออัลลอยเป็นล้อขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต ดูแตกต่างจากรุ่นซีดาน เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ
ด้านรายละเอียดของห้องโดยสารที่ออกแบบภายใต้แนวคิด “Ambitious Beauty” ยึดหลักของฮอนด้าในการพัฒนา คือ “Man-Maximum Machine-Minimum” ออกแบบพื้นที่ให้สอดคล้องกับสรีระ กว้างขวางสะดวกสบายทุกมิติทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ให้ความรู้สึกหรูหรา สวยงาม เบาะที่นั่งหนังกลับดีไซน์สปอร์ต ตกแต่งด้วยด้ายสีแดงใช้เส้นสายแนวนอนเพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกโปร่งโล่งและสะดวกสบายในการขับขี่
นอกจากนนี้บริเวณแผงคอนโซลหน้าก็ตกแต่งโทนสีดำ Piano Black พร้อมที่วางแก้วน้ำ คอนโซลกลางมาพร้อมที่วางแขนขนาดใหญ่ พนักเท้าแขนด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมที่วางแก้วน้ำ มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม แป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว แสดงกราฟฟิคอละการทำงานของระบบไฮบริด IMMD ทั้งหมด แสงดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ด้านพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันดูสปอร์ตพร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ มีระบบรักษาความเร็วอัตรามัติแบบแปรผัน และระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ซึ่งนอกจากจะช่วยชะลอความเร็วของรถแล้วยังเป็นการหน่วงให้เจเนอเรเตอร์ ชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรรี่ ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยจะสามารถปรับการหน่วงได้ถึง 3 ระดับด้วยกัน
สำหรับระบบปรับอากาศอัตโนมัติ หน้าตาทันสมัย มีช่องปรับอากาศตอนหลังมาด้วย เพื่อความสะดวกสบายในห้องโดยสาร มาพร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง ถ้าเป็นแบบ USB จะลงตัวมาก ๆ ด้านระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI มีระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) มีระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System) และช่องเชื่อมต่อ USB จำนวน 2 ช่อง บริเวณคอนโซลด้านหน้า
ขุมพลังแบบ Full Hybrid ระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม/กิโลเมตร สามารถรองรับน้ำมัน E20
แอดมินลองขับรถคันนี้ ในช่วงขากลับ จากเขาใหญ่ ทริปนี้เรามีระยะทางการทดสอบประมาณ 180 กิโลเมตร สิ้่งที่สัมผัสได้ในด้านสมรรถนะ ย่างแรกเลยก็คือ อัตราเร่ง รู้สึกได้เลยว่าการตอบสนองตั้งแต่ออกตัว ซึ่งเป็นไปตามที่ฮอนด้า ได้ให้ข้อมูลกับเราไว้ว่า ช่วงออกตัวจะเป็นการทำงานด้วยมอเตอร์ ทั้งหมด แรงบิดที่ดดดเด่นตั้งแต่รอบการทำงานเริ่มต้น ทำให้เรารู้สึกถึงการตอบสนองที่รวดเร็วทั้นใจ เสียงมอเตอร์ไฟฟ้า และเสียงของเครื่องยนต์ที่จะทำหน้าที่ปั่นไฟเป็นส่วนหญ่ทำงานค่อนขางเงียบ เมื่อเทียบกับระดับราคาต้องบอกเลยว่า ทำให้เราตื่นตามาาก ในจังฟหวะช่วงเร่งแซงบางช่วงเราได้รับการเคลมเอาไว้ว่า อาจจะมีการตัดต่อกำลังมาใช้กำลังของเครื่องยนต์หมุนล้อบ้าง ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าการตัดต่อกำลังราบลื่นมากจนเราแยกไม่ออกว่าช่วงไหนมีการตัดต่อมาใช้กำลังของเครื่องยนต์ นอกจากดูผ่านมาตรวัดที่เป็นกราฟฟิก แต่ก็ยังดูค่อนข้างยาก เอาเป็ฯว่าการทำงานราบเรียบจนน่าประทับใจ สำหรับชุดเกียร์ E-CVT ชุดนี้
ลองจับเวลาผ่านนาฬิกาข้อมือ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชัวโมง ทำได้ประมาณ 10 วินาที และความเร็วปลายที่เคลมเอาไว้ สามารถทำอัตราเร่งสูงสุด 174 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยประมาณ ด้านการบังคับควบคุมและช่วงล่าง ให้ความนุ่มสบายและเซ็ทช่วงล่างได้ดี ฮอนด้า ไม่ได้ นำช่วงล่างของ ฮอนด้า ซิติี้ ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ มาใช้ทันที แต่มีการปรับปรุงในรายละเอียดของช่วงล่าง ไม่ว่าเป็นการปรับจูนค่าเคสปริง ปรับค่าความหนืดของโช้คอัพ เพื่อจะให้ ฮอนด้า ซิตี้ เอชอีวี ใหม่ ที่มีน้ำหนักเพิ่มเข้ามาอีกประมาณ 62 กิโลกรัม นั่งและขับได้อย่างสบาย และมีการบังคับควบคุมได้ดี ไม่ต่างจากในรุ่นเครื่องยบนต์ เบนซิน นั่นเองในส่วนของอัตราสิ้นเปลือง รถของผมมาพร้อมกับผู้โดยสาร รวม 3 คน น้ำหนักน่าจะประมาณ 200 กิโลกรัม โดยพยายามขับทดสอบเหมือนกับการขับใช้งานจริงต่างจังหวัด เม่อไหร่ที่มีช่วงถนนว่าง ทางโล่งก็จะทำความเร็วให้อยู่ที่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสมอ แม้ว่าจะมีช่วงรถติดรถช้าบ้าง เหมือนการขับเดินทางไกลทุกอย่าง อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ทำได้ หลังจากขับถึงจุดหมายปลาบทาง จะอยู่ที่ประมาณ 26.5 กิโลเมตร/ลิตร เทียบดูแล้วประหยัดมาก ๆ
จุดที่ประทับใจอีกอย่างคือ ระบบความปลอดภัยชั้นสูง ที่เรียกว่า ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ซึ่งผมเองมองว่า การปรับเปลี่ยนมาใช้กล้องแบบใหม่ ซึ่งเป็นกล้องมุมกว้าง ประสิทธิภาพไม่น่าจะสู้ กล้องกับเซนเซอร์ ที่เป็นเรดาห์ ด้านหน้าได้ แต่เม่อเราได้ทดลองใช้ระบบจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็ฯระบบช่วยเตือนและเบรกฉุกเฉิน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ ทำงานได้ดีและแม่นยำเดินคาด เช่นเดียวกับ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ด้วย อย่างไรก็ตาม มันเป็นการทดสอบเบื่้องตันจากการขับใช้งานจริง คงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่า กล้องมุมกว้าง หรือ กล้องมุมเแคบ+เรดาห์ อะไรจะทำงานได้แม่นยำกว่ากัน ถ้าดูจากการตอบสนองการทำงานของระบบก็จัดได้ว่าดี และทำได้อย่างชัดเจนทุกฟังก์ชั่นที่ให้มา
เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) มีอะไรบ้าง เป็นครั้งแรกที่นำเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงมาติดตั้งในรถซิตี้คาร์ของฮอนด้า ผ่านการทำงานของระบบกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ที่ช่วยตรวจจับวัตถุบนท้องถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยแจ้งเตือนผู้ขับขี่และช่วยควบคุมในสถานการณ์การขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถมากยิ่งขึ้น โดยมีระบบการทำงานดังต่อไปนี้
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย เช่น
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
- ระบบ Brake Hold อัตโนมัติ (Auto Brake Hold)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
- ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้าง (Side Airbags) และ ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
- กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย
- ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) บนพื้นถนนที่ลื่น
- ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA)
- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal – ESS)
ติดตั้ง ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เป็นเทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ซึ่งจะทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง มีดังนี้
- My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
- Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และ บันทึกการเดินทาง ที่สามารถเลือกทริปโปรด และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ เป็นต้น
- WiFi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง * ลูกค้าสามารถสมัครแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
- Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือน ให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
- Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และ แจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้าและฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ
- Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และการสั่งดับเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน
- Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย
- Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน
อุปกรณ์ตกแต่ง เสริมความพรีเมียมด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) รอบคัน ที่มาพร้อมกับแนวคิด “Stage Up Booster” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก เช่น คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท คิ้วบันไดสเตนเลส LED ราคา 4,400 บาท รวมทั้งอุปกรณ์เพิ่มอรรถประโยชน์ใช้สอยในห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ เช่น กระบะใส่ของท้ายรถ ราคา 1,250 บาท
ชุดแต่งรอบคัน มีให้เลือกในรูปแบบแพ็กเกจซึ่งจะเป็น Modulo Aero RS Package ราคา 17,900 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง และ สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น
หมายเหตุ:
– อุปกรณ์มาตรฐาน อาจแตกต่างกันในแต่ละรุ่น
– สีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท
– สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก) และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 6,000 บาท
– ราคาแพ็กเกจชุดแต่งโมดูโล ไม่รวม VAT 7%
– ดูรายละเอียดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ https://hondaaccess.co.th/line-up/honda-city-hev
ฮอนด้า อี:เอชอีวี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก) สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) สีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) และสีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) HONDA CITY รุ่น e:HEV RS ตั้วราคาไว้ 839,000 บาท
ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรืระยะทาง 40,000 กิโลเมตร สูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็คระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/cityehev