Lamborghini Aventador S กระทิงดุรุ่นใหญ่

 Lamborghini Aventador S

 

บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนจัดจำหน่ายแลมโบกินี่ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงาน The Private Preview of Lamborghini Aventador S – Dare Your Ego แนะนำ Lamborghini Aventador Sใหม่ เครื่องยนต์ 12 สูบ 740 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 38.7 ล้านบาท    

 

 

Lamborghini Aventador S ซูเปอร์คาร์ ค่าย Lamborghini ได้รับการออกแบบที่โดดเด่น หลักอากาศพลศาสตร์ ดีเยี่ยม แสดงให้เห็นถึงแนวทางการออกแบบของเจเนอเรชันต่อไปของ Aventador ชัดเจน ตัวรถ เปลี่ยนแปลง ภายนอกหลายอย่างจากตัวถังด้านหน้าและด้านท้าย ขณะที่ภาพรวมของตัวรถยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Aventador เอาไว้ ทุกชิ้น

 

 

ศูนย์ออกแบบ Lamborghini Centro Stile ได้ออกแบบ ชิ้นส่วนตัวรถ บางชิ้นโดยผสมผสานเอกลักษณ์เดิมของรถสปอร์ท ของค่ายไว้ด้วยกัน เช่น แนวของเส้นตัวถังบนซุ้มล้อหลังที่มีลักษณะคล้ายกับรถสปอร์ตในอดีตอย่าง Countach แลเะยังคงตอบสนองภาพลักษณ์ของ Aventador ที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงพลังในการขับเคลื่อน

 

 

ตัวถังด้านหน้าดุดันขึ้น ติดตั้งแผ่นรีดอากาศขนาดใหญ่ ช่วยในเรื่องการควบคุมทิศทางการไหลของลม เพื่อประสิทธิภาพในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ท่อนำอากาศ 2 ท่อ ติดตั้งอยู่ด้านข้างกันชนหน้า ช่วยลดแรงต้านที่ส่งผลต่อความเพรียวลมตรงบริเวณที่ยางของล้อหน้า ช่วย ให้อากาศ ไหลเข้าสู่หม้อน้ำที่อยู่ด้านท้ายได้ดีขึ้น

 

 

 

ด้านท้ายมีความโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser สีดำขนาดใหญ่ ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ประกอบไปด้วยครีบแนวตั้งหลายชิ้น ช่วยส่งผลต่อทิศทางการไหลของลม ลดแรงฉุดที่เกิดขึ้นในขณะที่รถกำลังแล่น และสามารถสร้างแรงกดบนตัวถัง โดยที่ตำแหน่งปลายท่อไอเสียบนกันชนท้าย มีถึง 3 ปลายท่อ

สปอยเลอร์หลัง ปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก ซึ่งระดับการยกตัวของสปอยเลอร์หลังจะมีผลต่อความสมดุลโดยรวมของตัวรถ และทำงานร่วมกับตัวสร้างกระแสลมหมุน หรือ Vortex Generator ที่อยู่ในตำแหน่งด้านล่างของระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลังในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของกระแสลมได้อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับการช่วยระบายความร้อนให้กับระบบเบรก

ประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ แรงกดบนตัวถังด้านหน้า ปรับปรุงให้เพิ่มขึ้นถึง 130% เมื่อเปรียบเทียบกับ Aventador ตัวถังคูเป รุ่นดิม และเมื่อแพนอากาศด้านหลังอยู่ในตำแหน่งที่มีประโยชน์สูงสุดในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ จะสามารถสร้างแรงกดบนตัวถังที่ดีขึ้นจากเดิมถึง 50% และลดแรงกระชากที่เกิดขึ้นบนตัวถังได้มากกว่า 400% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม

 

 

ห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามความต้องการ และมาพร้อมกับหน้าจอย่อยที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับ STRADA, SPORT และ CORSA รวมไปถึงการทำงานแบบ EGO Mode หลังจากเลือกโหมดการขับขี่ที่ต้องการในแผงควบคุม ปุ่ม EGO ยังมีออพชั่นอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอเล็ก ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามความต้องการส่วนตัว

ติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ Iphone I-Pad จากแบรนด์ Apple ของผู้ขับขี่ เพื่อ ความบันเทิงตลอดทาง สะดวกสบายด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง

สิ่งที่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถรับทราบข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ และสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้น เช่นเดียวกับข้อมูลการขับในด้านต่างๆ

เครื่องยนต์ ขนาด 6.5 ลิตร  12 สูบ 6.5 ลิตร ไม่มีระบบอัดอากาศ ปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้น 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม สามารถให้กำลังถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รตน. ระบบวาล์วแปรผัน VVT(Variable Valve Timing) และระบบปรับความยาวของชุดท่อไอดี VIS (Variable Intake System) สร้างแรงบิดที่ยอดเยี่ยม การทำงานสูงสุดของเครื่องยนต์ถูกเพิ่มจาก 8,350 มาเป็น 8,500 รอบ/นาที

น้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,575 กิโลกรัม ทำให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าของตัวรถอยู่ที่ 2.13 กิโลกรัมต่อแรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลัมโบร์กินี ใช้ระบบเลี้ยว 4 ล้อ ใหม่ ผสมผสานการทำงานของระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) ที่ปรับแต่งเป็นธรรมชาติเดียวกับการตอบสนองที่ฉับไว ประสานการทำ กับระบบบังคับเลี้ยวของล้อหลัง หรือ Lamborghini Rear-wheel Steering (LRS) มีตัวควบคุมที่แยกการทำงานต่างหาก 2 ชุด ตอบสนอง รวดเร็วเพียง 0.005 วินาที หลังจากหักพวงมาลัย

ใช้ชุดระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR- Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไวเพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น

ท่อไอเสีย มีน้ำหนักเบากว่าที่ติดตั้งในรุ่นเดิมถึง 20% และผ่านการทดสอบ หลายขั้นตอน ด้านการตอบสนองของเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini จากเครื่องยนต์วี12 ใช้ ปลายท่อไอเสียแบบรวมเป็นชุดเดียวกันแต่มี 3 ปลายท่อ

 

ด้านสมรรถนะของ Aventador S
ความเร็วสูงสุด : 350 กม./ชม. (217 ไมล์/ชั่วโมง)
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 2.9 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.: 8.8 วินาที
อัตราเร่ง 0-300 กม./ชม. : 24.2 วินาที
ระยะเบรกจาก 100-0 กม./ชม. : 31 เมตร

อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ในเมือง : 26.2 ลิตร/100 กม.
นอกเมือง : 11.6 ลิตร/100 กม.
แบบผสม : 16.9 ลิตร/100 กม.
การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : 394 กรัม ต่อ 1 กม.
หมายเหตุ : ตามการทดสอบ Dir. 1999/100/CE

Aventador S ได้รับการติดตั้งระบบ Stop-and-Start ระบบ Cylinder Deactivation หยุดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากระบอกสูบจำนวนครึ่งหนึ่งของจำนวนกระบอกสูบที่มีอยู่ในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพในด้าน ความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ โดยเมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานในลักษณะที่ไม่เน้นสมรรถนะ กระบอกสูบ 6 จาก 12 สูบ จะหยุดการทำงานชั่วคราว โดยกระบอกสูบทั้ง 6 ที่หยุดการทำงานจะอยู่ในแนวของเสื้อสูบฝั่งเดียวกันของบล็อกเสื้อสูบแบบตัว V เมื่อผู้ขับขี่กดคัน เร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว จะเป็นการแจ้งเตือนให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานแบบเต็มระบบอีกครั้ง เครื่องยนต์จะทำงานแบบครบทั้ง 12 สูบ โดยการตัดสลับการทำงานของระบบนี้จะมีความนุ่มนวลและต่อเนื่อง ชนิดที่ผู้ขับขี่แทบไม่สามารถสังเกตได้เลยว่าตัวเครื่องยนต์กำลังอยู่ในโหมดไหน

 

 

สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบเพื่อสอดคล้องกับการขับขี่ได้ถึง 4 แบบด้วยกัน คือ STRADA, SPORT, CORSA และแบบใหม่ล่าสุดคือ EGO Mode ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับปรุงในส่วนรูปแบบการทำงานของระบบการยึดเกาะ (เครื่องยนต์, เกียร์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ) ระบบบังคับเลี้ยว (LRS, LDS และ Servotronic) และระบบช่วงล่าง (LMS)

โหมด STRADA เน้นสะดวกสบายสูงสุดและเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน โหมด SPORT ให้สัมผัสในรูปแบบของการขับเคลื่อนล้อหลัง และ CORSA คือ การปรับแต่งระบบให้รองรับกับการใช้งานในสนามด้วยสมรรถนะสูงสุด สำหรับโหมด EGO เป็นรูปแบบการขับใหม่ที่เพิ่มเข้ามา มีการเพิ่มรูปแบบการปรับเซ็ตที่มีสไตล์เฉพาะตัว หลากหลาย ปรับแต่งโดยผู้ขับเอง สามารถเลือกตั้งค่าการทำงานในด้านการยึดเกาะ การบังคับเลี้ยว การขับขี่นุ่มนวลและดุดันให้ผู้ขับสามารถปรับโหมดได้ตามสไตล์การขับขี่ และระบบช่วงล่างจากโหมดทั้ง 3 คือ STRADA, SPORT และ CORSA ได้ตามใจชอบ

ติดตั้งระบบ ESC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงการจัดการในส่วนการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมการยึดเกาะ การกระจายแรงบิดสู่เพลาหน้าและหลังอย่างต่อเนื่องในแต่ละโหมดการขับขี่จะได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering และความแตกต่างระหวางโหมดการขับแบบต่างๆ จะได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้น

 

โครงสร้างตัวถังแบบโมโนคอก ที่มีความทนทานต่อการบิดตัวและมีน้ำหนักเบาเพราะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยโครงนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเฟรมตัวถังที่ผลิตจากอะลูมิเนียมซึ่งผลก็คือ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเปล่า หรือ Dry Weight เพียง 1,575 กิโลกรัมเท่านั้น

เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะมีการหักเลี้ยวในลักษณะที่ตรงข้ามกับมุมการเลี้ยวที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ทำให้ตัวรถมีความยาวของระยะฐานล้อลดลง และจากการที่ตัวรถต้องการมุมการเลี้ยวของพวงมาลัยลดลงนั้น ทำให้ Aventador S มีความคล่องตัวมากขึ้นเพราะมีรัศมีวงเลี้ยวที่ลดลง และให้ความมั่นใจกับสมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีขึ้น และทำให้สามารถซอกซอนท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งของถนนในเมืองด้วยความคล่องตัว

ช่วงความเร็วสูงจะแตกต่างออกไป โดยทั้งล้อหน้าและล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับมุมการหมุนของพวงมาลัย

ระบบช่วงล่าง Lamborghini Magneto-rheological Suspension (LMS) ทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อรุ่นใหม่ของตัวรถ การจัดวางชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนในเชิงเรขาคณิตมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งการปรับปรุงนี้มีทั้งในส่วนของปีกนกตัวบน ตัวล่าง และดุมล้อ ซึ่งจะช่วยลดมุมแคสเตอร์และลดภาระที่เกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง ระบบโช้คอัพที่มีการปรับระดับความหนืดแบบ Real-time ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่จะช่วยควบคุมล้อและตัวถัง ให้สามารถอยู่ในระดับที่สมดุลและให้ระดับการยึดเกาะที่สูงสุด นอกจากนั้นสปริงชุดใหม่ที่ล้อหลังยังช่วยควบคุมการ สมดุลของตัวรถได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ระบบ ESC มีความแม่นยำ ควบคุมการยึดเกาะและพลวัตรในการขับเคลื่อน ระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering ส่งผ่านแรงบิดจากเครื่องยนต์ได้มากขึ้น เมื่อมีการถอนคันเร่ง แรงบิดที่ถูกถ่ายทอดไปล้อหน้าจะลดลง

 

 

วิศวกรของ Lamborghini ได้ติดตั้งหน่วยควบคุมและประมวลผลที่มีความเป็นอัจฉริยะอย่าง Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) เข้าไปในตัวรถเพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ โดย LDVA คือสมองชุดใหม่ของตัวรถ คอยรับข้อมูลการเคลื่อนที่ของตัวรถแบบ Real-time และมีความแม่นยำมากขึ้นผ่านทางข้อมูลต่างๆ ที่ส่งมาจากเซนเซอร์ทั้งหมด ติดตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในตัวรถ จึงมั่นใจว่าตัวระบบได้รับการตั้งค่าเพื่อให้ทำงานดีที่สุด ระบบควบคุมการขับเคลื่อนของตัวรถทำงานอย่างยอดเยี่ยม

ยาง มีความเป็นเอกซ์คลูซีฟ เพราะ Pirelli ได้พัฒนายางรุ่น P Zero ขึ้นมาเพื่อรถสปอร์ทรุ่นนี้โดยเฉพาะ มีการออกแบบเพื่อเน้นประโยชน์ ด้านการบังคับเลี้ยว ยึดเกาะ การเปลี่ยนเลนกะทันหัน และการเบรกที่มีประสิทธิภาพ การถ่ายทอดกำลัง จากล้อหน้าและล้อหลัง ยาง Pirelli P Zero รองรับ อัตราเร่ง ที่ฉับไว และลดอาการหน้าดื้อโค้ง ได้ดี

ระบบเบรก  เป็นดิสท์ทั้ง 4 ล้อผลิตจากคาร์บอนเซรามิกพร้อมกับรูระบายความร้อน (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง) เพิ่มประสิทธิภาพในการหยุดรถจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้หยุดสนิทโดยที่มีระยะเบรกเพียงแค่ 31 เมตรเท่านั้น

 

 

รายละเอียดทางเทคนิค : Lamborghini Aventador S

มิติตัวถังและน้ำหนัก

ระยะฐานล้อ : 2,700 มิลลิเมตร (106.29 นิ้ว)
ความยาว : 4,797 มิลลิเมตร (188.86 นิ้ว)
ความกว้าง (ไม่รวมกระจก) : 2,030 มิลลิเมตร (79.92 นิ้ว)
ความสูง : 1,136 มิลลิเมตร (44.72 นิ้ว)
ความกว้างช่วงล้อ (หน้า-หลัง) : 1,720 มิลลิเมตร (67.71 นิ้ว) – 1,680 มิลลิเมตร (66.14 นิ้ว)
ความสูงใต้ท้องรถ (ปกติ-ยกสูง) : 115 ± 2 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกขึ้น 155 มิลลิเมตร)
น้ำหนักรถเปล่า : 1,575 กิโลกรัม (3,472 ปอนด์)
อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้า-หลัง : 43-57%

เครื่องยนต์
แบบ : วี12 เสื้อสูบเอียงทำมุม 60 องศา และระบบ MPI
ความจุกระบอกสูบ : 6498 ซีซี (396.5 ลูกบาศก์นิ้ว)
กระบอกสูบXช่วงชัก : 95X76.4 มิลลิเมตร (3.74X3 นิ้ว)
จำนวนวาล์วต่อสูบ : 4 ตัว
ระบบควบคุมการทำงานของวาล์ว : ระบบวาล์วแบบปรับจังหวะการทำงานได้ ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์
อัตราส่วนการอัด :11.8 ± 0.2
กำลังสูงสุด : 740 แรงม้า (544 กิโลวัตต์) ที่ 8,400 รอบ/นาที
อัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร : 113.9 แรงม้า/ลิตร (83.7 กิโลวัตต์/ลิตร)
แรงบิดสูงสุด : 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด : 8,500 รอบ/นาที
อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนัก : 2.13 กิโลกรัม/แรงม้า
ระดับมลพิษในไอเสีย : EURO 6 –LEV2

ระบบส่งกำลัง : ขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมกับชุดเฟือง Haldex เจเนอเรชั่นที่ 4
ชุดเกียร์ : 7 จังหวะแบบ ISR มีการปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ในแต่ละตำแหน่งสอดคล้องกับ Mode การขับ
เกียร์ อัตราทด
3.909
2.438
1.810
1.458
1.185
0.967
0.844
เกียร์ถอย 2.929
อัตราทดเฟืองท้าย (หน้า-หลัง) 2.867-3.273
ชุดคลัตช์ คลัตช์แห้งแบบ 2 แผ่น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 235 มิลลิเมตร (9.25 นิ้ว)

 

 

แชสซีส์และตัวถัง
เฟรมตัวถัง : แบบโมโนค็อกผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และมีตัวถังด้านหน้าและหลังผลิตจากอลูมิเนียม
ชิ้นส่วนตัวถัง : ส่วนฝากระโปรงด้านหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ สปอยเลอร์หลังสามารถปรับระดับได้ และมีช่องดักอากาศแบบยึดติดตายตัว ฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า และประตูผลิตจากอลูมิเนียม ส่วนกันชนท้ายและฝาครอบวาล์วผลิตจาก SMC
รูปแบบระบบกันสะเทือน : ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบก้านกระทุ้งปรับระดับได้ Magneto-rheological มา พร้อมโช้กอัพและสปริงวางตัวในแนวนอน
การจัดวางระบบกันสะเทือน : ทั้งด้านหน้าและหลังเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ผลิตจากอลูมิเนียม
ระบบ ESP : ระบบควบคุมการทรงตัว/เอบีเอส ทำงานด้วยหน่วยประมวลผลของ Bosch 8.0 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ ESC ให้สอดคล้องตามโหมดการขับที่ถูกเลือก
ระบบเบรก : แบบไฮดรอลิก 2 วงจรคู่พร้อมหม้อลมเบรก ดิสก์ด้านหน้าและหลังเป็นแบบคาร์บอนเซรามิก (คาลิเปอร์หน้าแบบ 6 ลูกสูบ และ 4 ลูกสูบสำหรับด้านหลัง)
ดิสก์หน้าหลังแบบมีรูระบายความร้อน : คาร์บอนเซรามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง
ระบบบังคับเลี้ยว : มีเกียร์อัตราทดเฟือง 3 ระดับและมี Servotronic ควบคุมการทำงาน โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) และ Lamborghini Rear-Wheel Steering (LRS) ซึ่งควบคุมผ่านทางโหมดการขับที่ถูกเลือกเอาไว้
อัตราทดเฟืองบังคับเลี้ยว : 10 : 1- 18 : 1
จำนวนรอบเมื่อหมุนพวงมาลัยจนสุด : 2.1-2.4 รอบ
เส้นผ่าศูนย์กลางของวงพวงมาลัย : 358 มิลลิเมตร
ยางด้านหน้า-หลัง : Pirelli P Zero 255/30 ZR20 – 355/25 ZR21
ขนาดล้อด้านหน้า-หลัง : 9” JX20” H2 ET 32.2 – 13” JX21” H2 ET 66.7
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด : 11.5 เมตร (37.73 ฟุต) เป็นค่าเฉลี่ย โดยจะแปรผันไปตามการใช้งาน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบ LRS
กระจก : กระจกมองข้างมีระบบไล่ฝ้า สามารถปรับระดับและพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า
สปอยเลอร์หลัง : ปรับระดับได้ 3 ระดับขึ้นอยู่กับความเร็วและโหมดการขับที่เลือกใช้
ถุงลมนิรภัย : ฝั่งคนขับพองตัวได้ 2 ระดับ และสามารถปรับระดับได้สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ตัวเบาะนั่งมีถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะและร่างกายส่วนบน และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่าของผู้ขับขี่ ขึ้นอยู่กับตลาดบางแห่ง