มิชลิน เผยโฉมยาง 2 รุ่น เทคโนโลยีล้ำอนาคต
ข่าวรถวันนี้ :มิชลิน เผยโฉมยาง 2 รุ่น เทคโนโลยีล้ำอนาคต ผลิตจากวัสดุยั่งยืนในปริมาณสูงถึง 45% และ 58% ผ่านการรับรองสำหรับใช้งานบนท้องถนน
· มิชลินเปิดตัวยางรถยนต์และยางรถโดยสารประเภทมาตรฐาน 2 รุ่นล่าสุด ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำหน้าแห่งอนาคตที่มาก่อนกาล 2-3 ปี
· ประสบการณ์ด้านวัสดุไฮเทคที่แข็งแกร่งของมิชลิน ประกอบกับเครือข่ายพันธมิตรที่มี ช่วยขับเคลื่อนให้การพัฒนานวัตกรรมเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
· การเปิดตัวครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของมิชลินที่จะบรรลุเป้าหมายในการผลิตยางล้อทุกประเภทจากวัสดุยั่งยืน 100% ภายในปี 2593
มิชลิน เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกด้วยการเผยโฉมยางรถยนต์และยางรถโดยสารรวม 2 รุ่น ซึ่งผลิตจากวัสดุยั่งยืนในปริมาณสูงถึง 45% และ 58% ตามลำดับ โดยยางทั้งสองรุ่นไม่เพียงให้สมรรถนะสูงเช่นเดียวกับยางมิชลินประเภทเดียวกันที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังผ่านการรับรองสำหรับใช้งานบนท้องถนนทั่วไปแล้ว
การเปิดตัวครั้งนี้บ่งชี้ให้เห็นว่ามิชลินได้ยกระดับกระบวนการก่อนการผลิต (Pre-production) และการตลาดให้ก้าวล้ำหน้าก่อนกาล 2-3 ปี ด้วยการนำวัสดุยั่งยืนมาใช้ผลิตยางล้อในปริมาณสูง ซึ่งถือเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับกลุ่มมิชลินในการมุ่งสู่เป้าหมายที่จะผลิตยางในระดับโลกโดยใช้วัสดุที่ได้จากการรีไซเคิล, วัสดุหมุนเวียน (Renewable) และวัสดุที่มาจากแหล่งชีวภาพ 100% ภายในปี 2593 ทั้งนี้ ได้มีการตั้งเป้าที่จะใช้วัสดุยั่งยืนเพิ่มขึ้นในการผลิตยางล้ออีก 40% ภายในปี 2573
ความก้าวหน้าดังกล่าวเป็นผลมาจากการผลิตยางล้อโดยใช้ยางธรรมชาติ, คาร์บอนแบล็คที่ได้จากการรีไซเคิล, ตลอดจนน้ำมันประเภทต่าง ๆ เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน และเรซินจากชีวมวล (Bio-sourced Resins) รวมถึงซิลิกาจากแกลบ และเหล็กกล้าที่ได้จากการรีไซเคิล
การนำวัสดุยั่งยืนมาใช้ในการพัฒนายางล้อโดยยังคงให้สมรรถนะที่ดีถือเป็นแนวทางการดำเนินงานของกลุ่มมิชลิน อีกทั้งมิชลินยังให้ความสำคัญและใส่ใจเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของวงจรผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่
ภายใต้แผนการดำเนินงานที่กำหนด มิชลินเชื่อมั่นในประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุไฮเทค ตลอดจนความทุ่มเทของแผนกวิจัยและพัฒนา ซึ่งประกอบด้วยทีมวิศวกร, นักวิจัย, นักเคมี และนักพัฒนา ราว 6,000 คน ทั้งนี้ การที่ในปี 2564 มิชลินเป็นเจ้าของสิทธิบัตรวัสดุไฮเทคซึ่งยังมีผลบังคับใช้ (Active Patents) รวมทั้งสิ้น 3,678 ฉบับ ถือเป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
กลุ่มมิชลินตระหนักดีว่าการพัฒนานวัตกรรมด้านวัสดุยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยทักษะใหม่ ๆ จึงได้ริเริ่มดำเนินโครงการกับพันธมิตรกลุ่มเป้าหมาย เพื่อผลักดันให้การพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า…โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแปรสภาพและการรีไซเคิล…ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว พันธมิตรเหล่านี้ ได้แก่ ‘ไพโรเวฟ’ (Pyrowave) ในการผลิตสไตรีนจากการรีไซเคิล (r-styrene), ‘คาร์ไบโอส์’ (Carbios) ในการผลิตพลาสติก PET จากการรีไซเคิล (r-PET), ‘เอ็นไวโร’ (Enviro) ในการพัฒนาคาร์บอนแบล็กจากการรีไซเคิล (rCB) รวมทั้งกับ ‘ไอเอฟพี เอเนอจีส์ นูเวลล์ส’ (IFPEN) และ ‘แอคเซนส์’ (Axens) ภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของฝรั่งเศส (ADEME) ในการผลิตบิวทาไดอีนจากชีวมวล (Bio-Butadiene) นอกจากนี้ มิชลินยังร่วมดำเนินโครงการ ‘อองแพรงท์’ (Empreinte)* กับหน่วยงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของฝรั่งเศส (ADEME) และจัดตั้งโครงการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ‘แบล็คไซเคิล’ (BlackCycle) และ ‘ไวท์ไซเคิล’ (WhiteCycle) ร่วมกับพันธมิตรสัญชาติยุโรปหลายราย โดยได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป เพื่อแปรสภาพยางล้อที่สิ้นสุดอายุการใช้งานแล้วให้กลายเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงพิเศษสำหรับใช้ในการผลิตยางล้อใหม่
* โครงการ ‘อองแพรงท์’ (Empreinte) ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลฝรั่งเศสในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการลงทุนเพื่ออนาคต โดยปัจจุบันโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนการลงทุน France 2030 และดำเนินการโดยหน่วยงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของฝรั่งเศส (ADEME)
ข่าวรถวันนี้ : ‘มิชลิน’ รับรางวัล ‘สุดยอดองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย’ ประจำปี 2565
มร. วิลเลียม อิง (William Ng) บรรณาธิการบริหารของ HR Asia มอบรางวัล Best Companies to Work for in Asia 2022 หรือ ‘สุดยอดองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2565’ ให้กับนางปาริชาติ ประจันพาณิชย์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท สยามมิชลิน จำกัด โดยรางวัลนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการยกย่ององค์กรธุรกิจชั้นนำต่าง ๆ ทั่วเอเชีย ที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กรและวัฒนธรรมการทํางานที่ยอดเยี่ยม และมีความเป็นเลิศในแนวทางปฏิบัติด้านทรัพยากรบุคคลที่สะท้อนความมุ่งมั่นในการบริหารบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ
รางวัล ‘Best Companies to Work for in Asia 2022’ หรือ ‘สุดยอดองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2565’ จัดทำโดยนิตยสาร HR Asia นิตยสารชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคลของภูมิภาคเอเชีย โดยบริษัท Business Media International
ข่าวรถวันนี้ : MICHELIN PASSION EXPERIENCE 2022 เปิดประสบการณ์สุดพิเศษในการสัมผัสโลกของกีฬามอเตอร์สปอร์ต การสัญจร ตลอดจนศาสตร์และศิลป์ด้านอาหารตามแบบฉบับของมิชลิน ณ กรุงอาบูดาบี
หลังจากหยุดจัดงานไปสองปีเต็มเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ล่าสุด ‘มิชลิน แพสชั่น เอ็กซ์พีเรียนซ์’ (MICHELIN PASSION EXPERIENCE) งานสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ได้หวนกลับมาจัดอีกครั้งเพื่อมอบประสบการณ์ให้แขกรับเชิญพิเศษได้สัมผัสโลกอันน่าตื่นตาตื่นใจของกีฬามอเตอร์สปอร์ต การสัญจร ตลอดจนศาสตร์และศิลป์ด้านอาหารตามแบบฉบับของมิชลิน โดยงานประจำปี 2565 นี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-16 กันยายน ณ ยาส มารีน่า เซอร์กิต (Yas Marina Circuit) ในกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามแข่งรถที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดในโลก
ในงานนี้ แขกพิเศษราว 500 คน จาก 2 ภาคพื้นธุรกิจของมิชลิน ได้แก่ ภาคพื้นเอเชียตะวันออกและออสเตรเลีย (E2A) และภาคพื้นตะวันออกกลางและแอฟริกาใต้ (AIM) ได้รับเชิญเข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ที่น่าตื่นตาประทับใจผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติการและการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองหลากหลายรูปแบบ นอกจากนั้น ยังได้โอกาสรับรู้และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณของมิชลินที่มีกีฬามอเตอร์สปอร์ตเป็นเสมือนห้องปฏิบัติการค้นคว้าทดลองอันเป็นพื้นฐานของการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่ท้องถนน ทั้งยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นผู้นำของมิชลินในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งโดดเด่นด้วยการนำเสนอยางทุกรุ่นที่สามารถรองรับการใช้งานกับยานยนต์ไฟฟ้าได้ ยิ่งกว่านั้น แขกพิเศษกลุ่มนี้ยังได้ร่วมเป็นประจักษ์พยานในความมุ่งมั่นของมิชลินที่มีต่อวิสัยทัศน์เรื่อง “ความยั่งยืนทุกด้าน” (All Sustainable) รวมทั้งได้สัมผัสเทคโนโลยีแห่งอนาคตของมิชลินอย่างใกล้ชิดด้วยตนเอง
งาน ‘มิชลิน แพสชั่น เอ็กซ์พีเรียนซ์’ ประจำปี 2565 ประกอบด้วยกิจกรรมเชิงปฏิบัติการด้านการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ Race of Passion ซึ่งผู้เข้าร่วมได้สวมบทบาทนักแข่ง ‘Formula 4’ ลงสนาม, Supercar Passion ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้รับการอบรมเชิงวิชาการโดยนักแข่งรถมืออาชีพระดับสากล และได้ทดลองขับรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ ‘ปอร์เช่ 718 เคย์แมน’ (Porsche 718 Cayman) ที่ติดตั้ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4เอส’ (MICHELIN Pilot Sport 4S) ที่สุดแห่งยางสปอร์ตสมรรถนะสูงซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งานบนถนนเป็นหลักและบนสนามแข่งเป็นครั้งคราว, EV Passion ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองขับรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า ‘เทสลา โมเดล วาย’ (Tesla Model Y) ที่ติดตั้งยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ (MICHELIN Pilot Sport EV) ซึ่งพัฒนาขึ้นจากประสบการณ์กว่า 6 ปี ของมิชลินในการแข่งขัน ‘ฟอร์มูลา อี’ ส่งผลให้ยางรุ่นนี้มีคุณสมบัติโดดเด่นในการส่งเสริมสมรรถนะของรถสปอร์ตไฟฟ้าให้ถึงขีดสุด และ Thrilling Passion รอบ Hotlap ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสความเร็วแรงสุดเร้าใจของการนั่งบนรถแข่ง ‘ปอร์เช่ 718 เคย์แมน’ ที่ขับโดยครูฝึกขับรถแข่งมืออาชีพ พร้อมลุ้นระทึกไปกับความตื่นเต้นเต็มพิกัดของการแข่งรถ
นอกเหนือจากประสบการณ์บนสนามแข่งแล้ว แขกรับเชิญยังได้ร่วมประลองทักษะความเร็วและความแม่นยำไปกับเกมแข่งรถออนไลน์ (e-Gaming) รวมทั้งได้ค้นพบโลกของมิชลินในด้านศาสตร์และศิลป์ทางอาหารผ่านของหวานปิดท้ายมื้อกลางวันที่รังสรรค์โดยเชฟสามพี่น้องแห่ง Orfali Bros Bistro ร้านอาหารที่ได้รับรางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ (Bib Gourmand) ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์ ดูไบ ประจำปี 2565’ (2022 MICHELIN Guide Dubai) ซึ่งเป็นฉบับปฐมฤกษ์สำหรับการเปิดตัวครั้งแรกในนครดูไบ รวมถึงอาหารค่ำสไตล์อาหรับดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กิจกรรมอื่น ๆ ที่จัดไว้เพื่อสร้างประสบการณ์เร้าใจอันน่าจดจำไม่รู้ลืมให้กับแขกพิเศษในปีนี้ยังครอบคลุมถึงการนั่งรถสปอร์ตเอสยูวีตะลุยเนินทราย, การขี่อูฐชมทิวทัศน์ตระการตา และการชมการแสดงโชว์นกเหยี่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจ
กำหนดการและกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีบทบาทในการสร้างสีสันให้งาน ‘มิชลิน แพสชั่น เอ็กซ์พีเรียนซ์’ ประจำปี 2565 เป็นการกลับมาจัดงานที่ประสบความสำเร็จและพิเศษคุ้มค่าแก่การรอคอยอย่างแท้จริง
ข่าวรถวันนี้ : ‘มิชลิน’ จับมือพันธมิตรร่วมทุนเพื่อผลิตแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วที่ใช้ในเซลล์เชื้อเพลิง
‘ซิมบิโอ’ (Symbio) บริษัทพลังงานไฮโดรเจนที่ร่วมก่อตั้งโดย ‘มิชลิน’ และ ‘โฟเรอเซีย’ (Faurecia) ผนึกกำลังกับ กลุ่มบริษัทแชฟฟ์เลอร์ (Schaeffler Group) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนระดับโลกในนาม ‘อินโนเพลท’ (Innoplate) เพื่อผลิตแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Bipolar Plates: BPP)
บริษัทร่วมทุนและโรงงานแห่งแรกจะตั้งอยู่ที่เมืองอาเกอโน (Haguenau) ประเทศฝรั่งเศส โดยตั้งเป้าที่จะผลิตแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วให้ได้ราว 50 ล้านชิ้น และจ้างงานมากกว่า 120 คน ภายในปี 2573 ลูกค้ารายแรกของบริษัทร่วมทุนดังกล่าวคือ ‘ซิมบิโอ’ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำระดับโลกแห่งหนึ่ง
ซิมบิโอ (Symbio) บริษัทพลังงานไฮโดรเจนที่ร่วมก่อตั้งโดย ‘มิชลิน’ และ ‘โฟเรอเซีย’ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ แชฟฟ์เลอร์ (Schaeffler) เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนสัดส่วน 50:50 สำหรับดำเนินธุรกิจผลิตแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วที่ใช้ในเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Bipolar Plates: BPP) ซึ่งจะเป็นโซลูชั่นด้านพลังงานและการสัญจรระดับโลก บริษัทร่วมทุนแห่งนี้จะตั้งอยู่ที่เมืองอาเกอโน (Haguenau) แคว้นอัลซาซ (Alsace) ประเทศฝรั่งเศส ทำหน้าที่ผสานความรู้ความเชี่ยวชาญของซัพพลายเออร์ยานยนต์สัญชาติยุโรปและผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงยานยนต์ซึ่งต่างเล็งเห็นถึงศักยภาพที่เปิดกว้างในการพัฒนาเศรษฐกิจไฮโดรเจน (Hydrogen Economy) นอกจากนี้ การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวยังเป็นการสร้างพันธมิตรระหว่างธุรกิจในฝรั่งเศสและเยอรมันที่มุ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่คุณค่าของการสัญจรด้วยพลังงานไฮโดรเจนในยุโรป
บริษัทร่วมทุนดังกล่าว ซึ่งมีกำหนดเริ่มดำเนินงานภายใต้ชื่อ ‘อินโนเพลท’ (Innoplate) ภายในปลายปีนี้ จะเร่งผลิตแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วรุ่นใหม่สำหรับเซลล์เชื้อเพลิงชนิดเมมเบรนแลกเปลี่ยนโปรตอน (Proton Exchange Membrane: PEM) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความจุ และต้นทุนที่แข่งขันได้ให้กับลูกค้า การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งนี้คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปลายปี 2565 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ มาตรการกำกับดูแลการควบรวมกิจการ ฯลฯ
บริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะผลิตแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วในปริมาณมากทางอุตสาหกรรมและสร้างงานกว่า 120 ตำแหน่งในฝรั่งเศส
บริษัทร่วมทุนมีกำหนดเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงต้นปี 2567 ทั้งนี้ หน่วยผลิตจะตั้งอยู่ที่เมืองอาเกอโน ประเทศฝรั่งเศส และในเบื้องต้นจะมีกำลังการผลิตแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วอยู่ที่ 4 ล้านชิ้นต่อปี โดยตั้งเป้าที่จะผลิตให้ได้ทั่วโลกเป็นจำนวนสูงถึงราว 50 ล้านชิ้นต่อปี และจ้างงานมากกว่า 120 คน ภายในปี 2573 หน่วยผลิตแห่งนี้จะไม่เพียงมีมาตรฐานด้านความยั่งยืนสูงสุด แต่ยังมุ่งสู่การดำเนินงานที่มีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) การก่อตั้งอินโนเพลทจะช่วยเร่งให้เกิดการผลิตแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วรุ่นใหม่ในปริมาณมาก โดยมี ซิมบิโอ และ แชฟฟ์เลอร์ เป็นลูกค้าพิเศษของบริษัทร่วมทุนแห่งนี้ ทั้งนี้ ซิมบิโอ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำระดับโลกแห่งหนึ่งเสนอชื่อเป็นลำดับแรกในฐานะผู้ให้บริการระบบเซลล์เชื้อเพลิง จึงวางแผนที่จะให้บริษัทร่วมทุนแห่งนี้เป็นผู้จัดหาแผ่นนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วในโครงการดังกล่าว
ซิมบิโอ มีประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานกว่า 30 ปีในการพัฒนาระบบเซลล์เชื้อเพลิง ทั้งยังเป็นผู้นำเสนอ StackPacks® ระบบไฮโดรเจนขนาดกะทัดรัดที่ผ่านการบูรณาการและตรวจสอบล่วงหน้า (Pre-Validated, Pre-Integrated Hydrogen System) ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดในเรื่องกำลังไฟฟ้าและความทนทานเพื่อการสัญจรที่มีค่าการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
แชฟฟ์เลอร์ ซัพพลายเออร์ชั้นนำระดับโลกในภาคอุตสาหกรรมและภาคยานยนต์ มีความเชี่ยวชาญสูงเกี่ยวกับเทคโนโลยีการปั๊มและขึ้นรูปอย่างแม่นยำ รวมทั้งมีความรู้ความชำนาญด้านกระบวนการผลิตแผ่นโลหะนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วในปริมาณมาก โดย แชฟฟ์เลอร์ ใช้แผ่นโลหะนำกระแสไฟฟ้าดังกล่าวเป็นตัวแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (Electrolyzer) เพื่อผลิตไฮโดรเจน ทั้งยังใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของ แผงเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Stack) สำหรับนำไปใช้งานเป็นเซลล์เชื้อเพลิงทั้งแบบติดตั้งอยู่กับที่ (Stationary) และแบบเคลื่อนที่ (Mobile) ทุกประเภท การรุกขยายธุรกิจแนวตั้ง (Vertical Integration) ผ่านการควบรวมหรือซื้อกิจการด้านการขึ้นรูปและกระบวนการเคลือบผิวขั้นสูง ส่งผลให้ แชฟฟ์เลอร์ มีฐานความรู้ความชำนาญอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกระบวนการผลิตแผ่นโลหะนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วในปริมาณมาก
ฟิลิปป์ โรซิเอร์ (Philippe Rosier) ประธานกรรมการบริหารของซิมบิโอ เปิดเผยว่า “แผ่นโลหะนำกระแสไฟฟ้าแบบสองขั้วที่ใช้ในเซลล์เชื้อเพลิงเป็นส่วนประกอบเพิ่มคุณค่าเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของระบบเซลล์เชื้อเพลิง อินโนเพลทจะทำหน้าที่ดูแลศักยภาพการผลิตให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องตามความต้องการของลูกค้าและตลาดการสัญจรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน ขณะเดียวกันจะเร่งพัฒนาสมรรถนะของระบบให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพให้โซลูชั่นของเรามีต้นทุนที่แข่งขันได้มากขึ้น นอกจากนี้ การเข้ามามีส่วนร่วมของซิมบิโอจะช่วยผลักดันให้บริษัทร่วมทุนแห่งนี้กลายเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในยุโรป”
เคลาส์ โรเซ็นเฟลด์ (Klaus Rosenfeld) ประธานกรรมการบริหารของแชฟฟ์เลอร์ กล่าวเสริมว่า “เราเชื่อว่าไฮโดรเจนจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้เกิดการสัญจรด้วยพลังงานสะอาดในอนาคต การสร้างเศรษฐกิจไฮโดรเจนและการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืนนั้นขึ้นอยู่กับการทำให้ห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยีใหม่ที่เชื่อถือได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตได้จำนวนมาก แน่นอนว่าการที่เราเข้าร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับซิมบิโอสอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว ในฐานะบริษัทระดับโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศเยอรมนี เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับซิมบิโอในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนีในภาคธุรกิจที่สำคัญ บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นร่วมกับซัพพลายเออร์เซลล์เชื้อเพลิงชั้นนำจะช่วยให้แชฟฟ์เลอร์ขยายฐานเข้าสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว”
แพทริค โคลเลอร์ (Patrick Koller) ประธานกรรมการบริหารของโฟเรอเซีย ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในเครือกลุ่มฟอร์เวีย (FORVIA) กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราตระหนักดีว่าความร่วมมือระหว่างบริษัทสัญชาติฝรั่งเศสและบริษัทสัญชาติเยอรมันทั้งสองจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำไปสู่ความเป็นเลิศ เรามีความมุ่งมั่นที่แน่วแน่และจริงจังในด้านเซลล์เชื้อเพลิง ไฮโดรเจนเป็นหัวใจสำคัญของการสัญจรแห่งอนาคต ความรู้ความเชี่ยวชาญที่ส่งเสริมกันระหว่างซิมบิโอและแชฟฟ์เลอร์จะทำให้อินโนเพลทมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกเข้าสู่ยุคแห่งการสัญจรด้วยพลังงานไฮโดรเจน”
ฟลอรองต์ เมอเนโกซ์ (Florent Menegaux) ประธานกรรมการบริหารของมิชลิน กล่าวว่า “การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างซิมบิโอและแชฟฟ์เลอร์ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่จะผลักดันให้การสัญจรด้วยพลังงานไฮโดรเจนเกิดขึ้นได้เร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพของซิมบิโอให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านระบบเซลล์เชื้อเพลิงระดับโลกภายในปี 2573 เราเชื่อมั่นว่าการประสานความร่วมมือระหว่างกันในยุโรปจะช่วยให้ผู้ประกอบการทางอุตสาหกรรมในยุโรปก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าในด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้ ซึ่งการร่วมพันธมิตรระหว่างบริษัทสัญชาติฝรั่งเศสและเยอรมันครั้งนี้ยืนยันประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี”
ข่าวรถวันนี้ : ‘บีเอฟกู๊ดริช แอดแวนเทจ ทัวริ่ง’ พร้อมบุกตลาดยางทางเรียบ ด้วยขนาดที่ครอบคลุมการใช้งานร่วมกับรถหลากประเภทมากขึ้น ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ รถมินิแวน รวมทั้งรถ CUV และ SUV
ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมานานกว่า 150 ปีและประสบการณ์ที่โดดเด่นด้านยางทางเรียบ ล่าสุด ‘บีเอฟกู๊ดริช’ ได้เปิดตัว ‘บีเอฟกู๊ดริช แอดแวนเทจ ทัวริ่ง’ (BFGoodrich Advantage Touring) ยางรถยนต์สำหรับวิ่งบนทางเรียบที่ให้ความคุ้มค่าเหนือกว่าและออกแบบมาเพื่อการขับขี่อย่างมั่นใจในทุกสภาพถนน โดยยางรุ่นนี้ครอบคลุมการใช้งานร่วมกับรถเก๋ง รถกระบะ รถมินิแวน รวมทั้งรถอเนกประสงค์ประเภท CUV และ SUV คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 85 ของรถยนต์ที่ใช้งานบนท้องถนน ด้วยขนาดยางที่มีให้เลือกรวมทั้งสิ้น 69 ขนาด ตั้งแต่ 13-20 นิ้ว ในจำนวนนี้เป็นยางขนาดใหม่ถึง 25 ขนาด
ทิม ฮอร์ หัวหน้างานฝ่ายโมเดลธุรกิจของบีเอฟกู๊ดริช ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกและออสเตรเลีย เปิดเผยว่า “ยาง ‘บีเอฟกู๊ดริช แอดแวนเทจ ทัวริ่ง’ มุ่งเจาะกลุ่มผู้ขับขี่ที่มีวิถีชีวิตไม่หยุดนิ่ง มองหาสิ่งที่คุ้มค่าสมราคา และต้องการความมั่นใจขณะขับขี่ผจญภัยในเขตเมือง ยางรุ่นนี้โดดเด่นในเรื่องขนาดที่มีให้เลือกหลากหลาย ตลอดจนสมรรถนะและรูปลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการรับประกันสินค้า 6 ปี …เรียกได้ว่าเป็นยางที่ให้ความคุ้มค่าอย่างแท้จริงเลยทีเดียว”
คุณสมบัติเด่นของยาง ‘บีเอฟกู๊ดริช แอดแวนเทจ ทัวริ่ง’ ได้แก่▪รูปลักษณ์ที่สวยงามและประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนที่ดียิ่งขึ้น ด้วยดอกยางดีไซน์ใหม่ที่ดูเรียบง่ายและทรงพลังขึ้น ตลอดจนลายดอกยางสองทิศทางแบบไม่สมมาตร (Asymmetric, Non-Directional Tread Pattern) ที่หน้าสัมผัสของดอกยางได้รับการปรับแต่งด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร
▪ออกแบบเพื่อการขับขี่และการเบรกอย่างมั่นใจในทุกสภาพถนน ด้วยดีไซน์ดอกยางแบบไม่สมมาตร ซึ่งมาพร้อมบล็อกดอกยางและไหล่ยางที่แข็งแกร่ง ช่วยให้ตอบสนองต่อการบังคับควบคุมได้ดั่งใจ อีกทั้งบล็อกดอกยางยังมีขนาดใหญ่และมีร่องดอกยางลึก ช่วยให้มีสมรรถนะในการเบรกเป็นเยี่ยมทั้งบนถนนเปียกและถนนแห้ง โดยร่องรีดน้ำยังได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากยางบีเอฟกู๊ดริชที่ใช้ในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ
และ▪นวัตกรรมแบบเต็มความหนาหน้ายางที่ให้ความมั่นใจขณะขับขี่ตลอดอายุการใช้งานยาง ได้แก่ แถบเนื้อยางเสริมระหว่างบล็อกดอกยาง (Interlocking Band) ที่ช่วยลดแรงเสียดทานและความร้อน ซึ่งส่งผลต่อการประหยัดเชื้อเพลิง และพื้นที่หน้าสัมผัสของยางกับผิวถนนที่ได้รับการออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับตลาดยางรถยนต์ที่ต้องเผชิญกับสภาพความร้อนรุนแรงในการใช้งาน
ปัจจุบัน ยาง ‘บีเอฟกู๊ดริช แอดแวนเทจ ทัวริ่ง’ มีวางจำหน่ายแล้ว ณ ร้านตัวแทนจำหน่ายยาง บีเอฟกู๊ดริช อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ โดยมีขนาดยางให้เลือกรวมทั้งสิ้น 69 ขนาด (ยางรหัสความเร็ว H, T และ V) ตั้งแต่ 13-20 นิ้ว คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติมและชมภาพผลิตภัณฑ์ได้ที่ BFGoodrich.co.th
ข่าวรถวันนี้ : มิชลิน ได้คะแนนสูงสุดในการประเมินผล SPOTT ประจำปี 2564 ด้านความโปร่งใสทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตอกย้ำการมีรากฐานมั่นคงเพื่อก้าวสู่การสัญจรอย่างยั่งยืน
- มิชลินได้คะแนนอันดับหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยางพารา ซึ่งครอบคลุมกลุ่มผู้ผลิต ผู้แปรรูป และผู้ผลิตยางรถยนต์ โดยได้คะแนนสูงถึง 81.8%
- การประเมินผลจัดทำโดย SPOTT แพลตฟอร์มสำหรับประเมินความโปร่งใสทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
- ผลการประเมินตอกย้ำให้เห็นถึงภาวะผู้นำและความโปร่งใสของกลุ่มมิชลินอันเป็นรากฐานสำคัญต่อการขับเคลื่อนความยั่งยืนของห่วงโซ่คุณค่ายางธรรมชาติให้ก้าวรุดหน้า
มิชลิน ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียางรถยนต์ระดับโลก ครองอันดับหนึ่งในการประเมินภาคอุตสาหกรรมยางธรรมชาติหรือยางพารา ประจำปี 2564 ซึ่งจัดทำโดย SPOTT โดยการประเมินผลครั้งนี้ครอบคลุมการวิเคราะห์พันธกิจและนโยบายสาธารณะขององค์กร ทั้งที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ตลอดจนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนภาคการเงินและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทานให้สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือประเมินความโปร่งใสด้านนโยบายเพื่อความยั่งยืน หรือ SPOTT (Sustainability Policy Transparency Toolkit) เป็นกรอบแนวทางการประเมินที่พัฒนาขึ้นโดย ZSL (Zoological Society of London) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลด้านการอนุรักษ์ระดับนานาชาติ เครื่องมือนี้ใช้ในการประเมินข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร นโยบายและแนวปฏิบัติต่างๆ ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ (Public Disclosure) ของผู้ผลิต ผู้แปรรูป และผู้ค้าสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละราย โดย SPOTT จะประเมินและให้คะแนนบริษัทและองค์กรต่าง ๆ ที่ดำเนินงานเกี่ยวข้องกับป่าไม้ในเขตร้อน น้ำมันปาล์ม และยางธรรมชาติหรือยางพารา เป็นประจำทุกปี ตามดัชนีชี้วัดเฉพาะภาคอุตสาหกรรม 100 ดัชนี เพื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานและประเมินพัฒนาการความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น
การประเมินผล SPOTT ครั้งล่าสุด ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 2565 ได้ประเมินและให้คะแนนบริษัทและองค์กรที่ดำเนินงานเกี่ยวกับยางธรรมชาติหรือยางพารารวมทั้งสิ้น 30 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ผลิตยางธรรมชาติและผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของโลกรวมอยู่ด้วย โดยมิชลินมีคะแนนสูงเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 81.8% เหนือกว่าผู้ที่ได้รับการประเมินในกลุ่มเดียวกันรายอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากคะแนนเฉลี่ยของภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่เพียง 39.3% สะท้อนให้เห็นถึงภาวะความเป็นผู้นำของมิชลินในเรื่องความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน
แซม จิงเจอร์ (Sam Ginger) หัวหน้านักวิเคราะห์ของ ZSL ที่ดูแลการประเมินผลครั้งนี้ กล่าวว่า “ZSL เรียกร้องให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ เปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ที่ชัดเจนและถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างสม่ำเสมอบนเว็บไซต์ พร้อมทั้งสนับสนุนให้ซัพพลายเออร์ของตนปฏิบัติตามแนวทางนี้ด้วย การรายงานข้อมูลอย่างโปร่งใสตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานช่วยให้สามารถติดตามความก้าวหน้าของการผลิตยางธรรมชาติอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นายเสกสรรค์ ไตรอุโฆษ กรรมการผู้จัดการ Société des Matières Premiéres Tropicales Pte Ltd (SMPT) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มมิชลินที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางเทคนิคและการจัดซื้อยางพารา กล่าวว่า “การครองอันดับหนึ่งในการประเมินผลครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นทั้งความมุ่งมั่นของมิชลินในการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนของยางธรรมชาติ และการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการยกระดับการปฏิบัติงานในพื้นที่, การเข้าไปมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานเพื่อประเมินและลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตลอดจนการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่เกษตรกรรายย่อยผ่านหลากหลายโครงการที่มุ่งเน้นให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตและแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น อาทิ โครงการ CASCADE ที่มุ่งเสริมสร้างศักยภาพให้กับเกษตรกร 1,000 รายในอินโดนีเซีย ด้วยการนำเครื่องมือจัดทำแผนผังความเสี่ยง RubberWay Risk Mapping Tool มาใช้ เพี่อรายงานความคืบหน้าโครงการฯ ในรูปแบบของแผนที่ความยั่งยืน ทั้งนี้ ความโปร่งใสถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบต่อพันธกิจของมิชลิน เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยางรถยนต์โดยรวม ด้วยความมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นต่อโลกใบนี้ที่เราทุกคนอาศัยอยู่”