มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีรปลั๊กอินไฮบริด
ข่าวรถวันนี้ : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าสู่รถปลั๊กอินไฮบริดที่ขายดีที่สุดในโลก
49 ปีหลังจากที่มิตซูบิชิสามารถผลิตรถยนต์เพื่อการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้เป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2460 มิตซูบิชิ ตระหนักว่าเชื้อเพลิงจากฟอสซิลมีปริมาณที่จำกัด อีกทั้งยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงปัญหามลพิษในเมือง มิตซูบิชิจึงเริ่มคิดค้นที่จะใช้พลังงานในรูปแบบอื่นๆ ที่มีความยั่งยืนกว่า จึงได้เริ่มทำการวิจัยและพัฒนาการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถอีวี เพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภค
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้ลงนามข้อตกลงกับบริษัท โตเกียว อิเล็กทริค พาวเวอร์ “เพื่อสร้างและทดสอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นต้นแบบโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง” อีกทั้งยังได้ทำงานร่วมกับ มิตซูบิชิ อิเล็กทริค เพื่อพัฒนารถยนต์ซิตี้คาร์แห่งอนาคตและยานยนต์สำหรับภารกิจพิเศษที่จะช่วยลดมลพิษในเมือง รวมถึงการใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ
ในเดือนพฤษภาคมปี 2514 หลังจากที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้ทำการก่อตั้งขึ้นไม่นาน ก็ได้ทำการส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไทพ์อี12 ในรูปแบบมินิกาแวน(Minica Van) จำนวน 10 คันให้แก่ โตเกียว อิเล็กทริค ซึ่งรถดังกล่าวพัฒนาขึ้นจากรถมินิกา แวน รุ่นมาตรฐาน ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้และสามารถทำความเร็วได้ 80 กม.ต่อชม. ไม่เพียงเท่านั้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ยังได้เดินหน้านำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าซึ่งพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ มินิกา แวน (Minica Van) มินิแค็บ แวน(Minicab Van) กระบะมินิแค็บ (Minicab Truck) และเดลิกา แวน (Delica Van) ให้แก่บริษัทพลังงานไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานสู่การบุกเบิกตลาดและก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส
จากการวิจัยพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จึงได้ทำการเปิดตัว มิตซูบิชิ ไอ มีฟ(Mitsubishi i-MiEV) รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกที่จำหน่ายในเชิงพาณิชย์มิตซูบิชิ ไอ มีฟ ขับเคลื่อนโดยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ สามารถคว้ารางวัล“รถยนต์ที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีดีเด่น” (Most Advanced Technology) จากการประกาศรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี 2552 – 2553 ของญี่ปุ่น (2009-2010 Car of the Year Japan) พร้อมกับกวาดรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
ในช่วงเวลาเดียวกัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้เริ่มดำเนินการอีกหนึ่งโครงการที่ท้าทายยิ่งกว่า โดยการมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าผสานเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนารถออฟโรดและรถอเนกประสงค์ระดับตำนานที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก อันเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงความเป็นผู้นำของ มิตซูบิชิมอเตอร์ส ด้านยนตรกรรมขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างแท้จริง
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ดำเนินโครงการดังกล่าวที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาในเมืองโอกาซากิใกล้กับจังหวัดนาโงย่า เพื่อพัฒนารถอเนกประสงค์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยได้มีการนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากเทคโนโลยีของมิตซูบิชิ ไอ มีฟ ซึ่งรวมถึงระบบปฏิบัติการที่ล้ำสมัย “มีฟ โอเอส” (MiEV OS) พัฒนาต่อยอดขึ้นเป็นยนตรกรรมต้นแบบ มิตซูบิชิ คอนเซ็ปต์ พีเอ็กซ์ มีฟ (Mitsubishi Concept PX-MiEV) เผยโฉมครั้งแรกในโลกที่ โตเกียว มอเตอร์โชว์ ปี 2552 และตามมาด้วยมิตซูบิชิ คอนเซปต์ พีเอ็กซ์ มีฟ 2 (Mitsubishi Concept PX-MiEV II) ขณะเดียวกันก็ได้ดำเนินการทดสอบระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดหรือพีเอชอีวีที่ติดตั้งในรถอเนกประสงค์ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ เจนเนอเรชั่นที่สอง เป็นระยะทางหลายแสนกิโลเมตรอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งถึงงานปารีส มอเตอร์โชว์ ในปี 2555 โครงการดังกล่าวก็ได้รับการเปิดเผยเมื่อ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี (Mitsubishi Outlander PHEV) ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งถือเป็น
รถเอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของโลกที่ผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีมอเตอร์คู่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดดเด่นและเหนือกว่าเทคโนโลยีระบบปลั๊กอินไฮบริดของคู่แข่งอื่นๆ ด้วยโครงสร้างระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า(คันเร่งไฟฟ้าและไม่มีชุดเกียร์) แทนที่จะเป็นการติดตั้งแบตเตอรี่และมอเตอร์บนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีอยู่เดิม
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คือเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน Super-All Wheel Control (S-AWC) อันเป็นเอกลักษณ์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์สระบบขับเคลื่อน S-AWC พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีระบบขับเลื่อน 4 ล้อ ที่มีพัฒนาการมาอย่างยาวนานกว่า 80 ปี สั่งสมความสำเร็จจนได้รับรางวัลเกียรติยศต่างๆ จากสนามแข่ง ตั้งแต่ มิตซูบิชิ พีเอ็กซ์33 ปี 2479 ไปจนถึง มิตซูบิชิ ปาเจโร ปี 2525 รวมถึงชัยชนะจากการแข่งขันแรลลี่ระดับโลกอีก 12 สมัย
S-AWC ควบคุมการขับขี่และแรงเบรกของแต่ละล้อผ่านการกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง รวมถึงล้อซ้ายและล้อขวา มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ไม่ใช้เพลากลางแบบดั้งเดิม แต่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ติดตั้งที่ด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบขับเคลื่อน S-AWC
เมื่อนำเทคโนโลยีรถอเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ผสานเข้ากับความก้าวล้ำของเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี จึงมีความครบครันและพร้อมรองรับทุกการขับขี่ สำหรับการขับขี่ระยะสั้นในเมือง มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์พีเอชอีวี จะขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า สำหรับการขับขี่ในระยะทางที่ไกลขึ้น เครื่องยนต์จะทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าและชาร์จไฟฟ้าสู่แบตเตอรี่ ทำให้เดินทางในระยะไกลได้โดยปราศจากความกังวลด้านระยะทาง จึงโดดเด่นแตกต่างจากรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เท่านั้น จึงช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิและไม่ต้องพะวงกับการค้นหาสถานีชาร์จไฟทุกครั้งที่เดินทาง ทั้งนี้คุณสมบัติที่โดดเด่นอีกหนึ่งข้อคือการใช้แพลทฟอร์มรถอเนกประสงค์ที่มอบประโยชน์ใช้สอย รองรับทุกการใช้งาน และมีสมรรถนะสูง และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ คือ โหมด “EV” ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าและพลังงานจากแบตเตอรี่เท่านั้น โหมด “Series Hybrid” ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน และโหมด “Parallel Hybrid” ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมีมอเตอร์ช่วยทำงาน เทคโนโลยีการขับเคลื่อนทั้งหมดมอบอัตราเร่งที่ต่อเนื่อง เงียบและมีคุณภาพการขับขี่ที่เหนือชั้น
มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ 2 ประเภท คือการชาร์จไฟฟ้าปกติด้วยระบบไฟ 230V 10A ใช้เวลา 5.5 ชั่วโมงสำหรับการชาร์จไฟให้เต็มแบบปกติขณะที่การชาร์จไฟแบบควิกชาร์จ (CHAdeMO) ใช้เวลา 25 นาทีสำหรับการชาร์จไฟให้ถึงระดับร้อยละ 80* ซึ่งฟังก์ชั่นการชาร์จไฟแบบควิกชาร์จมีเฉพาะใน มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เท่านั้น (*) สำหรับรุ่นที่จำหน่ายในยุโรป
สำหรับความทนทานและอายุการใช้งาน มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ได้ผ่านการทดสอบการขับขี่ระยะทางไกลในสภาพอากาศทั้งร้อนและหนาวจัดเพื่อทดสอบความทนทานของแบตเตอรี่และมอเตอร์ โดยพบว่าชิ้นส่วนของระบบปลั๊กอินไฮบบริดยังทำงานได้ดีเมื่อผ่านการทดสอบที่ระยะทางรวม 300,000 กิโลเมตร
มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ประสบความสำเร็จอย่างสูงและเป็นรถปลั๊กอินไฮบริดที่ขายดีที่สุดในโลกเมื่อสิ้นเดือนธันวาคมปี 2561 และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ประกาศว่ามิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี มียอดจำหน่ายมากกว่า 200,000 คันแล้วทั่วโลก นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2556 จนถึงเดือนมีนาคมปี 2562 อีกทั้งยังครองตำแหน่งรถปลั๊กอินไฮบริดที่ขายดีที่สุดในยุโรปเป็นระยะเวลาถึง 4 ปีติดต่อกันตั้งแต่ปี 2558
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ทำการพัฒนา มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดได้เปิดตัว มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ใหม่ ที่งาน เจนีวา อินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ ปี 2561 มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี รุ่นล่าสุดนี้โดดเด่นด้วยกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ รวมไปถึงส่วนของกระจัง ไฟหน้า กันชนหลัง และล้ออัลลอย พร้อมความประณีตอีกขั้นของภายในห้องโดยสารเทคโนโลยีระบบปลั๊กอินไฮบริดยังได้รับการยกระดับด้วยเครื่องยนต์ ขนาด 2.4 ลิตรแบบ Atkinson Cycle ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าและการทำงานของมอเตอร์หลังให้มีกำกลังมากขึ้น อีกทั้งยั้งมีการเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ และพัฒนาระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC ที่มีเทคโนโลยีมอเตอร์คู่ให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพิ่มสองโหมดการขับขี่ใหม่ คือ ”Sport” และ ”Snow” ขณะที่การกระจายแรงบิดล้อหน้าและล้อหลัง ตลอดจนการควบคุมมอเตอร์หน้าและหลังยังได้รับการพัฒนาให้ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น
มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เป็นมากกว่าเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมในปัจจุบัน
ปัจจุบันบทบาทของรถยนต์ในสังคมกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจยิ่งขึ้นในระดับโลก ทั้งนี้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวล้ำซึ่งพลิกโฉมการใช้งานยานยนต์ได้อย่างแท้จริง โดยนอกจากจะเป็นเทคโนโลยีการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยังตอบโจทย์ต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมได้แม้ขณะจอด ด้วยฟังก์ชั่นชาร์จและปล่อยประจุไฟฟ้า มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี จึงสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าสู่บ้านเรือน (V2H) และกลับคืนสู่โครงข่ายไฟฟ้า (V2G) ได้อีกด้วย โดยการจ่ายพลังงานไฟฟ้าดังกล่าวสามารถช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง และยังช่วยลดค่าไฟฟ้าในครัวเรือนอีกด้วยทั้งนี้ที่งาน เจนีวา อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ปี 2562 มิตซูบิชิ มอเตอร์สคอร์ปอเรชั่น ได้นำเสนอ เดนโด ไดร์ฟ เฮาส์ (DENDO DRIVE HOUSE) นวัตกรรมเพื่อการใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี V2X ที่ใช้พาหนะเป็นแหล่งจ่ายพลังงานได้สำหรับทุกสิ่ง