รีวิวทดสอบ All New HAVAL H6 Hybrid SUV
ข่าวรถวันนี้ : เกรท วอลล์ มอเตอร์ ชวนเว็ปไซต์คาร์อินเนอร์ ร่วมทดสอบสมรรถนะ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ขับครั้งแรกเป็นอย่างไร เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะดีแค่ไหน ก่อนประกาศราคาอย่างเป็นทางการ 28 มิถุนายนนี้
เกรท วอลล์ มอเตอร์ นำสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะและสัมผัสประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับในทุกมิติกับ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ภายใต้แนวคิด “DRIVE TO A NEW xEV WORLD” บนเส้นทางกรุงเทพฯ – ชลบุรี พร้อมจัดเต็มกับสถานีทดสอบเทคโนโลยีอันล้ำสมัยจากเกรท วอลล์ มอเตอร์ เพื่อทดสอบสมรรถนะรถยนต์รุ่น Ultra ซึ่งเป็นรุ่นที่มีสเปคสูงสุดของ All New HAVAL H6 Hybrid SUV
ครั้งแรกที่เราได้มีโอกาสขับและสัมผัสกับ All New HAVAL H6 Hybrid SUV แบบเต็ม ๆ แม้ว่าจะใช้ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ก็พอที่จะทำให้เรา รู้สึกได้ว่า รถจีนแบรนด์นี้ จะเป็นน้องใหม่ในตลาด c-SUV ที่น่าตื่นตามากน้อยแค่ไหน หลังเผยโฉมเป็นครั้งแรกของโลก ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 ในประเทศไทย ยอมรับได้ว่ารถรุ่นนี้เป็นดาวเด่นในงาน แน่นอน ด้วยดีไซน์อันโดดเด่น และเทคโนโลยีทันสมัยมากมาย
การออกแบบภายนอกสะดุดตา ตัวรถใหญ่ มีกลิ่นอายยุโรป จากประสบการณ์การออกแบบรถยุโรปมาอย่างยาวนานของ ฟิล ซิมมอนส์ (Phil Simmons) รองประธาน และหัวหน้าทีมออกแบบของเกรท วอลล์ มอเตอร์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV โดยการใช้เส้นโค้งและลายเส้นสายที่เรียบง่าย ประณีต และ พรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า LED ทรงเหลี่ยม เส้นสายรอบตัวรถ หลังคาพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่ Panoramic sunroof และแถบไฟท้ายแบบ LED พาดยาวจากซ้ายจรดขวา LED taillight strip รวมถึงล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ในรุ่น ULTRA และ ล้อขนาด 18 นิ้วในรุ่น PRO `นอกจากนี้จุดแข็งสำคัญคือ ขนาดและมิติตัวรถที่กว้าง 1,886 มม. และยาว 4,653 มม. ส่วนความสูงอยู่ที่ 1724 มม. ในขณะที่ระยะฐานล้อมีขนาด 2,738 มม.เท่ากันทั้งรุ่นท็อปและรองท็อป รวมถึงความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ อยู่ที่ 175. มม. นับว่ามีขนาดใหญ่ไม่เป็นรองใครในตลาด C-SUV
ห้องโดยสาร เข้ามานั่งขับจริง ๆ ครั้งแรกบอกได้เลยว่าดูสวยดี มีการตกแต่งห้องโดยสารในสไตล์ทูโทนที่ดูสปอร์ต และทันสมัย วัสดุผิวสัมผัสต่าง ๆ หุ้มด้วยหนัง ตกแต่งเส้นสายภายในด้วยสีที่ยกระดับความหรูหรา อาทิ สีโรสโกลด์ (ULTRA) ส่วนรุ่น PRO รองท็อปเป็นสีเทา ตัดกับสีดำมัน หรือ แกรนด์เปียโนแบล็ค ที่เข้ากับโครเมียมและไฟ ambience light ได้เป็นอย่างดี ยังแอบเสียดายนิด ๆ ที่วัสดุหนังรอบคัน ให้มีเพียงหนังสังเคราะห์เท่านั้น ด้านความบันเทิงและจอแสงข้อมูลต่าง ๆ ได้รับการติดตั้งจอ Multi-Display แผงหน้าปัดแบบลอยตัว ขนาด 10 นิ้วเอาไว้ ตรงกลางคอนโซลก็เช่นกัน ติดตั้ง Infotainment ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจอแสดงผล ขนาด 12 นิ้ว ในรุ่น ULTRA ส่วนรุ่นรองท็อป หรือ PRO เป็นหน้าจอขนาด 10 นิ้วแทน นอกจากนี้รุ่นท็อป ULTRA ยังติดตั้วงจอ แบบ Head Up Display (HUD) แสดงภาพข้อมูลการขับขี่ได้อย่างครบครัน อีกด้วย. สำหรับพวงมาลัยไฟฟ้า เป็นแบบ Multi-Function สายฟันธงคุยว่ามันน้ำหนักเบา แต่จริง ๆ แล้ว น้ำหนักพวงมาลัยสามารถปรับควบคุมได้ผ่านหน้าจอ มีน้ำหนักแบบเบา แบบสบาย และแบบสปอร์ต ให้เลือก
คอนโซลเกียร์ขนาดใหญ่ ชุดควบคุมการปรับเปลี่ยนระบบเกียร์ไฟฟ้า Electronic shifter ออกแบบหรูหราแบบหมุนปรับ 3 รูปแบบ เกียร์ว่าง N เกีนร์ขับเคลื่อนไปข้างหน้า D และเกียร์ ถอยหลัง R ส่วนตำแหน่งเกียร์ P อยู่ด้านบนของชุดควบคุม นอกจากนี้บริเวณคอนโซลเกียร์ยังมีที่ชาร์จแบบไร้สายด้วย Wireless charger ถัดลงมาด้านล่างก็จะมีช่องเสียบชาร์จไฟแบบ -USB และ ช่องชาร์ทไฟ 12 โวลท์ ด้านระบบแอร์ เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ปรับอุณหภูมิแยกส่วซ้าย/ขวา พร้อมตัวกรอง CN95 และช่องแอร์ด้านหลัง รวมถึงช่องเสียบชาร์จไฟ เบาะคู่หน้าแบบไฟฟ้ามาพร้อมหลังคา พาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่ Panoramic sunroof เฉพาะรุ่น ULTRA ส่วนเบาะนั่งด้านหลัง สามารถปรับพับได้ในแบบ 60/40 และพับราบเพื่อเพ่ิมพื้นที่ในการเก็บสัมภาระ แต่ก็น่าเสียดายสำหรับพื้นที่กว้างใหญ่ ซึ่งสามารถติดตั้งเบาะขนาด 7 ที่นั่งเข้าไปได้เลย เรียกว่าพื้นที่ส่วนขาและพื้นที่ส่วนหัวเหลือเยอะมาก แต่ดีไซน์ของเบาะนั่งกลับนั่งได้ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ ดูย้อนแย้งกบพื้นที่ ส่วนที่เหลือมากมาย
ขุมพลังไฮบริด มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร พร้อมเทอร์โบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ (VGT) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 243 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 530 นิวตัน–เมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ สร้างการขับเคลื่อนอย่างมีพลัง ด้านชุดส่งกำลังเป็นแบบ Multi-mode DHT ด้วยระบบเกียร์ไฮบริด แบบ 2 เกียร์ ด้านเครื่องยนต์และด้านมอเตอร์ขับเคลื่อน โดยเป็นชุดขับเคลื่อนแบบ E-CVT แบบ 2 ชุด ชุดแรกทำงานที่รอบต่ำส่วนชุดที่สอง ทำงานที่รอบสูง โดยมีเกียร์ฝั่งมอเตอร์ไฟฟ้า ที่จะเข้ามาเสริมการทำงานในรูปแบบบต่าง ๆ โดยลักษณะการทำงานนั้นจะพยายามออกตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เป้นหลัก เพื่อจะให้มีประสทิธิภาพการออกตัวที่ดี รวมถึงประหยัดน้ำมัน โดยเฉพาะการใช้งานในเมือง และหลังรถออกตัวไปแล้ว ก็จะเป็นการเสริมการทำงานระหว้างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงการทำงานของเครื่องยนต์ล้วน ๆ ในบางช่วง ซึ่งทั้งหมดเป็นการผสมผสานการทำงานทั้งในแบบซีรีส์ไฮบริดและพาราเรล นั่นเอง ส่วนแบตเตอรี่แบบลิเธียมที่ติดมาไว้ด้านท้าย มีขนาด 1.6 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ไม่ใหญ่ไม่เล็ก เหมือนกับรถไฮบริดยุคนี้ ระบายความร้อนผ่านโบเวอร์ที่จะทำการดูความเย็นภายในห้องโดยสารมาระบายออกด้านท้าย
ด้านโหมดการขับขี่ แม้ว่าจะใช้แค่ระบบขับเคลื่อนผ่านล้อคู่หน้า แต่ก็มีโหมดขับขี่ให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ โหมดมาตรฐาน/ โหมดสปอร์ต/ โหมดประหยัด/ โหมดสภาพถนนลื่น เพื่อตอบสนองการขับขี่ในสภาพถนนที่แตกต่างกัน ในช่วงการขับทดสอบ ก็ดูขัดใจขึ้นมาทันทีเมื่อจะต้องเลือกปรับการใช้งาน เพราะฟังก์ชั่นโหมดการขับขี่ ไปซ่อมอยู่บริเวณจอควบคุมตรงกลางหรือ เซ็นเตอร์คอมมานเดอร์ จะเปลี่ยนโหมดการขับแต่ละครั้ง ต้องหันมามองหน้าจอ ซึ่งตัวผมเองค่อนข้างซีเรียสกับการละสายตาจากการมองถนน มาปรับโหมดการขับขี่ในรูปแบบนี้ เพราะค่อนข้างใช้เวลานานเกินไป และอาจเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แม้ว่ารถรุ่นนี้จะมีระบบความปลอดภัยชั้นสูงไว้รองรับอย่างครบครันก็ตาม เรื่องของการขับขี่ ต้องยอมรับว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะอัตราเร่งที่โดดเด่นรุ่นหนึ่ง อัตราเร่งทำได้รวดเร็วอย่างน่าตื่นตา ลองทำเครื่องมือทดสอบ มาจับเวลาเบื้องต้นดู พบว่า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. วัดได้ในเวลาเพียง 8.1 วินาที ส่วนในช่วงเร่งออกตัว 0-60 กม./ชม.วัดได้ 4.0 วินาที ด้านควอเตอร์ไมล์ 0-402 ม. วัดได้ 15.9 วินาที ที่ความเร็ว 148.6 กม./ชม. ด้านสมรรถนะในช่วงเร่งแซง ช่วงเร่งแซงในเมือง 60-100 กม./ชม. วัดได้ 4.2 วินาที ส่วนช่วงเร่งแซงทางยาว 80-120 กม./ชม. วัดได้ 5.1 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่วัดได้ ประมาณ 13 กิโลเมตร/ลิตร
“ HAVAL H6 Hybrid SUV” พิเศษด้วย LIFE+ (LIFE PLUS) ระบบที่ตอบสนองความต้องการในทุกเส้นทางการขับขี่ ซึ่งประกอบไปด้วย
▪️ L: L2 ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 2 มาพร้อม 22 ฟังก์ชั่นอัจฉริยะที่ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อาทิ
- ระบบช่วยจอดรถยนต์อัตโนมัติ 3 รูปแบบ หรือ Integration Auto Parking (IAP) ด้วยกล้อง 360 องศา และเซนเซอร์อัลตร้าโซนิค สามารถค้นหาที่จอดรถ ตรวจจับสิ่งกีดขวาง ค้นหาพื้นที่ว่างสำหรับจอดรถยนต์ และสามารถแนะนำการจอดรถได้อย่างถูกต้อง คำนวณพื้นที่สำหรับจอดรถได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถช่วยจอดได้ทั้งในรูปแบบการถอยเข้าช่องจอด การจอดขนานเส้นทางเดินรถ และการจอดตามแนวเฉียง
- ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ หรือ Auto Reversing Assistance (ARA) โดยระบบจะสามารถจดจำเส้นทางเมื่อรถขับเคลื่อนด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถถอยหลังกลับตามเส้นทางเดิมได้ในระยะทางถึง 50 เมตร
- ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง Wisdom Dodge System (WDS) โดยระบบจะช่วยตรวจจับรถบรรทุกและรถขนาดใหญ่ เพื่อควบคุมให้รถยนต์รักษาระยะห่างจากรถบรรทุก โดยหลังจากวิ่งผ่านรถบรรทุกแล้ว รถยนต์จะกลับเข้าสู่กลางเลนตามปกติ ซึ่งทั้ง 3 ระบบข้างต้น ถือเป็นระบบความปลอดภัยในรถยุโรประดับพรีเมียม นับได้ว่าเป็นครั้งแรกหรือ First in Class ในรถที่มีขนาดและระดับราคาเดียวกันในตลาดประเทศไทยในเวลานี้
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC) ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะที่จะระบุเส้นทางด้านหน้าของตัวรถ ไปพร้อมกับประสานการทำงานของระบบเบรกและระบบควบคุมเครื่องยนต์ เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถยนต์คันหน้า และระบบช่วยหยุดรถยนต์และออกตัว (stop-and-go) เพิ่มความสะดวกสบายในการขับรถสำหรับย่านที่มีการจราจรพลุกพล่าน
- ระบบแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา 360 ° Surrounding camera ด้วยการใช้กล้องรอบทิศทางความละเอียดสูงระดับสี่ล้านพิกเซลในการแสดงภาพรอบตัวรถยนต์สามารถมองเห็นสภาพถนนรอบตัวรถได้อย่างง่ายดายหรือเมื่อต้องขับขี่รถยนต์ในถนนที่แคบหรือที่จอดรถ
- I: Intelligence V3.5 ระบบอัจฉริยะที่ช่วยสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบโต้ตอบด้วยเสียง (Voice Interaction) ระบบอินเทอร์เน็ตอัจฉริยะ (Intelligent Internet) รวมไปถึงระบบหน้าจออัจฉริยะ ที่ช่วยให้เชื่อมต่อและค้นหาข้อมูลการเดินทางได้อย่างชาญฉลาด
- F: FOTA ระบบการอัปเกรดโปรแกรมออนไลน์ สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยการอัปเกรด Firmware ได้เองผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องเอารถเข้าศูนย์บริการ ไม่ว่าจะเป็น ระบบการขับขี่อัจฉริยะต่างๆ ระบบขับเคลื่อน และระบบส่งกำลัง
- E: EYE Q4 ชิปอัจฉริยะที่ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น สามารถประมวลผลภาพจากกล้องหลายตัวได้ในเวลาเดียวกัน และยังสามารถรักษาเสถียรภาพในการทำงานได้ดีหากมีการชนหรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อเข้าสู่ช่วงสะพานชลมารควิถี สื่อมวลชนสามารถเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดด้วยฟังก์ชั่นอัจฉริยะ ทั้งการโต้ตอบด้วยเสียงอัจฉริยะผ่าน AI หรือเชื่อมต่อความบันเทิงไปพร้อมกับอัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับการนำทางและจุดหมายปลายทาง ต่อด้วยการเดินทางเข้าสู่สนามบินหนองค้อ เพื่อทดสอบสมรรถนะการขับขี่และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยจากเกรท วอลล์ มอเตอร์ เพิ่มเติม โดยคณะสื่อมวลชนจะพบกับ TEST DRIVE TRACK ทั้ง 5 สถานี ได้แก่
1.สถานีทดสอบอัตราการเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และการเข้าโค้งอัจฉริยะ (Torque (0-100 km/hr) and Intelligent Cornering)
การพิสูจน์สมรรถนะและความแรงของรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 243 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 530 นิวตัน-เมตร และทดสอบการเข้าโค้งของรถเมื่อขับผ่านทางโค้ง โดยกล้องจะทำการตรวจสอบโค้งถนน เพื่อให้ความเร็วถูกปรับอัตโนมัติให้เหมาะสมสำหรับการเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย เมื่อผ่านโค้งไปแล้ว รถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้
2. สถานีทดสอบระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA : Auto Reversing Assistance)
ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของการทดสอบเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของ HAVAL H6 Hybrid SUV โดยรถยนต์จะสามารถจดจำเส้นทางที่ขับผ่านด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้สูงสุด 50 เมตร และสามารถถอยหลังกลับอัตโนมัติตามเส้นทางได้อย่างราบรื่น
3 .สถานีทดสอบระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IAP Integration Auto Parking)
ด้วยกล้อง 360 องศา และเซนเซอร์อัลตร้าโซนิค ช่วยให้ All New HAVAL H6 Hybrid SUV สามารถค้นหาที่จอดรถ คำนวณพื้นที่สำหรับจอดรถได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถช่วยจอดได้ทั้งในรูปแบบการถอยเข้าช่องจอด การจอดขนานเส้นทางเดินรถ และการจอดตามแนวเฉียง
4. สถานีทดสอบระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
(RCTA+RCTB Rear Cross Traffic Alert and Rear Cross Traffic Breaking)
ระบบจะช่วยทำการแจ้งเตือนในขณะที่ถอยรถ โดยจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับรถยนต์ที่เข้าใกล้บริเวณด้านหลังรถ และด้านซ้าย-ขวา และเมื่อตรวจพบความผิดปรกติระบบจะทำการส่งสัญญาณเตือนและเบรคให้อัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชน
5. สถานีทดสอบระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC : Adaptive Cruise Control)
ทดสอบการใช้งานกล้องติดรถยนต์ ADAS ที่ประสานกับชิปควบคุมการขับเคลื่อนอัตโนมัติ Q4 ของโมบายอาย (EYEQ4) ช่วยควบคุมในช่วงความเร็วเต็มพิกัดตามที่กำหนดไว้ รวมถึงการหยุดและรีสตาร์ทกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ก่อนหน้า
ต้องยอมรับว่า HAVAL H6 Hybrid ติดตั้งระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็ม ทั้งระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานและระบบความปลอดภัยชั้นสูง ผมเองรู้สึกตื่นตากับการทำงานของระบบความปลอดภัยที่ต้องบอกว่า ตอบสนองดีมาก ๆ ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC ที่เร่ิมทำงานตั้งแต่รถออกคัว พร้อมแปรผันความเร็วตามรถคันข้างหน้าตลอดเวลา สามารถตั้งระยะห่างใกล้/ไกล ได้ รวมถึงสามารถจอดนิ่งในขณะรถติดนาน ๆ ได้กว่า 5 นาที ในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่ เมื่อรถคันข้างหน้าออกตัว เราเพียงแตะคันเร่งเบา ๆ แล้วถอนเท้าออกระบบก็จะทำงานแปรผันตามรถคันข้างหน้าต่อไป จนกว่าเราจะยกเลิกระบบนี้ นอกจากนี้ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ก็ทำได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง มีเพียงระบบช่วยรักษาตัวรถให้อยู่กลางเลน หรือ LCK ที่ค่อนข้างจะเตือน จนรู้สึกน่ารำคาญ โดยเฉพาะเมื่อเราละมือออกจากพวงมาลัย บ้าง พวงมาลัยของรถจะตอบสนองด้วยการพยายามรักาาตำแหน่งตัวรถของเราให้อยู่ตรงกลางเลน ดังนั้นอาการที่เกิดขึ้นคือ พวงมาลัยโยกดึงซ้าย/ขวาจนน่าตกใจและรู้สึกเวียนหัวมากสุดท้ายต้องทำการบิดระบบนี้ออกไปถึงจะขับได้ดีเหมือนเดิมแต่นั่นก็ทำให้เราละสายตาจากการมองถนนมาเพื่อพยายามปิดฟังก์ชั่นนี้
ด้านระบบรองรับในรถรุ่นนี้ เป็นแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลงและโช้คอัพ ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นจานพร้อมครีบระบายความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นจานเบรกธรรมดา มาพร้อมกับระบบช่วยเหรือขึ้นพื้นฐานแบบจัดเต็ม ทั้งระบบป้องกันล้อล็อค ระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรก และระบบความปลอดภัยอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งยาวมากถ้าจะเขียนแต่เรื่องของติดตั้งมา เข้ามาในเรื่องของความรู้สึกที่ได้จากการขับทดสอบครั้งนี้เลยดีกว่า สิ่งที่สัมผัสได้อย่างแรกเลย คือช่วงล่างเซ็ทมานิ่ม เน้นนั่งสบายตามสไตล์รถครอบครัว จังหวะบั๊มและรีบาวด์ หรือจังหวะยืดยุบของช่วงล่าง มีความนุ่มนวล วิ่งทางตรง ความเร็วตามกฎหมายกำหนด ถือว่าดีมาก ในโค้งก็เข้าได้นุ่มนวล แต่เมื่อใช้ความเร็วสูง. เจอกับถนนเป็นลอนหรือเป็นคลื่น ก็จะพบกับอการยุบย้วยให้เห็นเยอะขึ้น รวมถึงการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง ยังทำได้ไม่ดี ต้องชลอเบาเบรก กันในบ้างโค้ง แต่โดยภาพรวมถ้าขับในกฎหมายกำหนด ขับสบายแน่นอน
สรุป จากการขับทดสอบคั้งนี้ ถือว่าเป็นรถรุ่นใหม่ที่มีสมรรถนะดีพอตัว เทคโนโลยีหลายอย่างน่าทึ่งมาก แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าน่าซื้อน่าใช้ได้มากน้อยแค่ไหน หรือ ฟันธงไปเลยว่า ซือเถอะคุ้ม เพราะราคาขายยังไม่เปิดเผยออกมา ถ้าราคาแพงกว่าคู่แข่งในตลาดที่มีระบบปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งสามารถวิ่งด้วยโหมด EV ที่มีแต้มต่ออยู่ถึง 60 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็ม รามถึงบรรดาคู่แข่งขาใหญ่ในตลาดทั้งหลาย ซึ่งปรับราคา ลดแลกแจกแถม และส่วนใหญ่รถในกลุ่ม C-SUV ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ราคาก็จะอยู่ประมาณ 1.3 ล้านเศษ ดังนั้นถ้าคิดว่า จะเป็นน้องใหม่ทั้งตั้งใจมาบุกตลาดอย่างจริงจัง ราคา ก็ควรจะเขย่าตลาดให้สะเทือนไปถึงคู่แข่งสายเลือกเดียวกันเสียด้วยซ้ำ เอาเป็ฯว่าแอดมินเองก็ลุ้นกับราคาขายอย่เช่นกัน เพราะภาพรวมทั้งดีไซน์และเทคโนโลยี ดูคุ้มค่าน่าใช้มาก ่วนเรื่องการปรับจูนให้ลงตัวกับผู้ใช้ในแต่ละภูมิภาค ต้องรอเสียงตอบรับจากลุกค้ามากกว่า ว่าจริง ๆ แล้ว ชอบการตอบสนองรถแบบไหน เพราะผมเองในฐานะนักทดสอบ ก็ได้แต่ถ่ายทอดประสบการณ์ การขับทดสอบแบบตรงไปตรงมา
ไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่จะนำรูปแบบการทำธุรกิจแบบ New User Experience มาประยุกต์ใช้ โดยมุ่งเน้นให้ผู้บริโภคได้รับบริการและความพึงพอใจสูงสุด
- Best Choice: ลูกค้าต้องเป็นผู้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ด้วยตัวเอง
- Transparency: ลูกค้าต้องได้รับการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา
- Happiness & Loyalty: ลูกค้าจะต้องมีความสุขและประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์ตลอดกาล
เกรท วอลล์ มอเตอร์ วางแผนเปิด Partner Store ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งผู้บริโภคจะได้พบกับโชว์รูมและศูนย์บริการกว่า 17 แห่งทั่วประเทศ โดยครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่
- กรุงเทพและปริมณฑล 8 แห่ง
- ชลบุรี 3 แห่ง
- ระยอง 1 แห่ง
- เชียงใหม่ 1 แห่ง
- ขอนแก่น 1 แห่ง
- นครราชสีมา 1 แห่ง
- สงขลา 1 แห่ง
- ภูเก็ต 1 แห่ง
และมีแผนที่จะเปิด Partner Store รวมไปถึงเปิด GWM Store ซึ่งเป็นโชว์รูมของเกรท วอลล์ มอเตอร์ รวมทั้งสิ้นกว่า 30 แห่ง
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก (Global Mobility Technology Company)” ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค เตรียมสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยจะประกาศราคารถ All New HAVAL H6 Hybrid SUV แบบ “ONE PRICE” อย่างเป็นทางการวันที่ 28 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะมาพร้อมการรับประกันคุณภาพตัวรถ (Factory Warranty & Roadside Assist) ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร และการรับประกันแบตเตอรี่แบบไม่จำกัดระยะทางนานถึง 8 ปีเต็ม.