โรลส์-รอยซ์ คัลลิแนน
โรลส์-รอยซ์ เป็นผู้นำความหรูหราจะไม่ถูกจำกัดอยู่ในคอนเซปท์ของเมืองอีกต่อไป โรลส์-รอยซ์ จึงสร้างรถยนต์ที่ให้ความหรูหราสง่างามไม่ว่าผู้ขับขี่จะเดินทางไปที่ใด และคัลลิแนนก็คือรถยนต์คันนั้นที่ขับสบาย…ไปทุกที่ (RollsRoyce Cullinan)
คัลลิแนน คือรถยนต์ที่ไร้ผู้ทัดเทียม และเป็นรถยนต์ที่ให้คำจำกัดความการเดินทางอย่างหรูหราที่สุด อีกทั้งยังเป็นสุดยอดแห่งการ ‘ขับสบาย’ ไม่ว่าเส้นทางจะสมบุกสมบันแค่ไหน เป็นรถที่สามารถไปได้ทุกแห่งหนได้อย่างสบาย ๆ ”
คัลลิแนน มีฟีเจอร์หลัก ๆ เช่นโคมไฟและกระจังหน้านั้นถูกฝังลงไปในตัวถัง ในขณะที่เส้นแนวตั้งและแนวระนาบสร้างความรู้สึกอันทรงพลัง ประกอบกับหน้าผากที่ละม้ายคล้ายคลึงกับนักรบชาวแซกซอน จากลายเส้นที่ลากตลอดส่วนบนของกระจังหน้าทรงแพนธิออนและโคมไฟสำหรับขับขี่ตอนกลางวันที่มีรูปทรงเหมือนคิ้ว การออกแบบนี้ทำให้ส่วนหน้าของ คัลลิแนน ดูน่าเกรงขาม
กระจังหน้าได้ถูกสร้างขึ้นมาจากสแตนเลสขัดด้วยมือ สำหรับ คัลลิแนน แล้ว มันจะดูโดดเด่นกว่าบริเวณรอบ ๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ช่วยดันมันขึ้นไปด้านหน้า ด้วยตราสัญลักษณ์ โรลส์-รอยซ์ ที่มีสัญลักษณ์ สปิริต ออฟ เอ็กสตาซี (Spirit of Ecstasy) อันสง่างามเด่นอยู่เหนือระดับของปีกทำให้เป็นมุมมองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ถัดจากส่วนหน้าของ คัลลิแนน จะมีเส้นแนวตั้งที่ลากมาจากเสากระจกหน้าไล่ไปตามขอบกระโปรงรถ แล้วดิ่งลงมาขนาบข้างกระจังหน้าแล้วลงมาจนถึงแผ่นกันเครื่องด้านล่าง ซึ่งเน้นให้เห็นความสูงและเอกลักษณ์อันโดดเด่นของรถ
จากด้านข้างของ คัลลิแนน จะเห็นถึงความมุ่งมั่นได้อย่างชัดเจน นี่เป็นสไตล์การออกแบบด้านข้างกระโปรงรถทรงยาวที่เป็นเอกลักษณ์ของ โรลส์-รอยซ์ ตำแหน่งของกระโปรงรถจะอยู่สูงกว่าปีกของรถซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งน่าเกรงขาม
จากนั้นลายเส้นจะพุ่งขึ้นไปตามเสากระจกหน้าและเลาะตามขอบบนเพื่อเน้นให้เห็นความสูงของ คัลลิแนน ซึ่งสูงได้ถึง 1,836 มม. และลงตัวกับสัดส่วนของกระจกและโลหะเมื่อมองจากด้านข้าง จากบริเวณเหนือเสากลาง ลายเส้นของหลังคาจะพุ่งไปที่กระจกหลังอย่างโฉบเฉี่ยวซึ่งลงตัวกับฝากระโปรงหลังที่ออกแบบมาให้ละม้ายคล้ายคลึงกับ โรลส์-รอยซ์ ดีแบ็ค (D-Back) ในยุคปี ค.ศ. 1930 ซึ่งเป็นสไตล์คลาสสิครุ่นสุดท้ายที่มีชั้นเก็บสัมภาระที่ด้านนอกของรถ
โรลส์-รอยซ์ คัลลิแนนเป็นโรลส์-รอยซ์รูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อครั้งที่เซอร์ เฮนรี รอยซ์กล่าวว่า “จงดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบในทุกสิ่งที่ตนทำ จงดึงเอาด้านที่ดีที่สุดของสิ่งที่มีอยู่ออกมาแล้วทำให้ดียิ่งขึ้น ถ้าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จงสร้างมันขึ้นมา” เขาคงจะมีภาพคัลลิแนนอยู่ในใจตั้งแต่ตอนนั้น
“คัลลิแนนคือความหรูหราที่สมบูรณ์แบบผสมผสานกับสมรรถนะของการวิ่งออฟโรด” มูเลอร์-ออทเวิส กล่าว “คำว่า ขับสบาย…ไปทุกที่ ไม่ใช่คำสัญญาของคัลลิแนน แต่มันคือความจริง”
การสรรสร้างความหรูหราของการ ขับสบาย…ไปทุกที่ นำไปสู่การพัฒนาด้านการออกแบบของโรลส์-รอยซ์เพื่อให้กำเนิดเอสยูวีที่ไม่เหมือนใคร สิ่งที่เห็นได้ชัดคือช่วงท้ายรถของคัลลิแนน
เป็นครั้งแรกที่โรลส์-รอยซ์มีประตูหลังรถซึ่งเรียกว่า “The Clasp” ที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่สัมภาระถูกเก็บไว้ด้านนอกของรถยนต์เพื่อไม่ให้เกะกะผู้โดยสารระหว่างเดินทาง ท้ายรถของคัลลิแนนจะแบ่งเป็น 2 ส่วน รูปแบบ D-Back เพื่อจัดเก็บสัมภาระปริมาณมาก ๆ The Clasp ทั้ง 2 ส่วนสามารถเปิดและปิดอัตโนมัติเพียงแค่สัมผัสปุ่มที่รีโมทกุญแจ
ห้องโดยสารด้านหลังของ คัลลิแนน ได้ถูกออกแบบมาให้มีที่นั่งที่ดีที่สุดและสามารถตอบสนองทุกความต้องการของเจ้าของ ทั้งนี้มีการจัดที่นั่งอยู่สองรูปแบบ คือที่นั่งแบบเลาจน์และที่นั่งส่วนตัว การจัดที่นั่งแบบเลาจน์จะมีประโยชน์ใช้สอยที่มากกว่า ด้วยพื้นที่ด้านหลังที่กว้างขวางสำหรับผู้โดยสารสามท่าน ที่นั่งแบบยาวจึงเหมาะกับครอบครัวมากกว่า อีกทั้งยังสามารถพับที่นั่งด้านหลังลงมาได้ ซึ่งเป็นรุ่นแรกของ โรลส์-รอยซ์ ที่มีฟีเจอร์นี้
เบาะสามารถพับทำได้ตั้งแต่ 2/3 ถึง 1/3 ซึ่งทำได้อย่างง่ายดายโดยการกดปุ่มที่อยู่บริเวณพื้นที่เก็บของด้านหลังหรือช่องในประตูหลัง ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว พนักพิงก็จะพับลงมาพร้อมกับเลื่อนเบาะรองศีรษะขึ้นไปเพื่อมิให้เกิดรอยบนเบาะที่นั่ง ด้านหลังของพนักพิงห่อหุ้มด้วยผ้าที่ทนทานและกันลื่น ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดรอยขีดข่วนจากสิ่งของที่ห้องด้านหลัง นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ใช้งานเพิ่มเติมอีกเมื่อมีผู้โดยสารด้านหลังเพียงท่านเดียว เพียงแค่พับด้านหนึ่งลง ผู้โดยสารด้านหลังก็สามารถใช้ด้านหลังของพนักพิงเป็นโต๊ะทำงานได้ ช่องด้านหลังหรือบริเวณกระโปรงหลังนั้นมีพื้นที่ถึง 560 ลิตร และขยายได้ถึง 600 เมื่อนำชั้นวางออก นอกจากนี้ยังสามารถพับที่นั่งด้านหลังลงซึ่งจะทำให้มีพื้นที่เก็บของที่ยาวถึง 2245 มม. ซึ่งยาวกว่ารถที่มีชื่อเสียงด้านพื้นที่เก็บสัมภาระอื่น ๆ และสามารถขยายพื้นที่โดยรวมทั้งหมดได้ถึง 1930 ลิตร
โรลส์-รอยซ์ยังเข้าใจอย่างดีว่าลูกค้าจะต้องการบริการสั่งผลิตพิเศษ (Bespoke) สำหรับคัลลิแนนของพวกเขา เราจึงมีตัวเลือกการปรับแต่งช่วงหลังอีกแบบหนึ่งเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าอีกด้วย ส่วนรูปแบบการจัดที่นั่งแบบที่นั่งส่วนตัวนั้นจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการรถอเนกประสงค์ที่มีความหรูหราเป็นพิเศษมากกว่าประโยชน์การใช้งาน ที่นั่งด้านหลังสองตัวมีคอนโซลกลางด้านหลังเป็นตัวคั่น ซึ่งเป็นตู้เก็บเครื่องดื่มที่มาพร้อมกับแก้ววิสกี้ คนโท แก้วแชมเปญ และกล่องเก็บความเย็นของ โรลส์-รอยซ์ นอกจากนั้นยังสามารถเลื่อนที่นั่งได้หลายทิศทางเพื่อความสบายขั้นสูงสุดในขณะโดยสารอยู่ที่ด้านหลัง
เมื่อคุณเข้าใกล้ คัลลิแนน เพียงแค่สัมผัสที่ปุ่มปลดล็อคบนกุญแจแบบสั่งทำพิเศษหรือแค่ยื่นมือไปจับด้ามจับประตูที่สร้างมาจากสแตนเลสอันงดงาม เมื่อถูกปลุกให้ตื่น คัลลิแนนจะย่อตัวลงมา 40 มม. เพื่อให้คุณสามารถขึ้นรถได้อย่างสะดวกสบายผ่านประตูที่ติดบานพับด้านหลังอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ โรลส์-รอยซ์ ที่เปิดกว้างเพื่อต้อนรับผู้โดยสารในการออกผจญภัย
ด้วยประตูที่เปิดออกกว้างทำให้สามารถก้าวเข้าไปในห้องโดยสารอย่างง่ายดาย ภายในห้องโดยสารของรถรุ่นเดียวในกลุ่มนี้ที่มีพื้นเรียบ ผู้ขับและผู้โดยสารเพียงแค่กดปุ่มปิดประตูก็จะสามารถเพลิดเพลินไปกับห้องโดยสารอันหรูหราของ คัลลิแนน และหากต้องก้าวออกไปผจญภัยข้างนอก เพียงแค่แตะที่เซ็นเซอร์บนด้ามจับประตูภายนอก ประตูจะปิดโดยอัตโนมัติเพื่อปกป้องผู้โดยสารภายใน
จากนั้นเมื่อแตะที่ปุ่มสตาร์ท คัลลิแนน จะยกตัวสูงขึ้น 40 มม. ซึ่งเป็นระดับความสูงมาตรฐาน และจะทำให้ผู้ที่อยู่ภายในมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ข้อมูลทุกอย่างจะแสดงขึ้นมาอย่างชัดเจนในหน้าปัดดิจิตอลที่ทันสมัยที่สุด จอหน้าปัดเป็นจอดิจิตอลสีที่แสดงเข็มหน้าปัดสวยงามเสมือนจริง, ลวดลายมงกุฎดอกไม้อันสวยงามละม้ายเครื่องเพชรพลอยของ โรลส์-รอยซ์ และตัวอักษรที่คมชัด
ถัดมาจากแผงหน้าปัดก็คือหน้าจอข้อมูลหลักซึ่งเป็นครั้งแรกที่เป็นจอสัมผัส ทำให้ผู้ขับสามารถเลือกฟังก์ชันต่าง ๆ ดูแผนที่ และตั้งค่ารถยนต์ได้อย่างสะดวกในขณะขับขี่ นอกจากนั้นยังสามารถควบคุมได้โดยใช้คอนโทรลเลอร์สัญลักษณ์ สปิริต ออฟ เอ็กสตาซีที่อยู่คอนโซลกลางพร้อมกับปุ่ม “Off-Road” ปุ่มควบคุมการลงเนิน และปุ่มควบคุมความสูงของช่วงล่าง
ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โรลส์-รอยซ์ คัลลิแนน จึงเป็นรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลกในรถยนต์กลุ่มนี้ อาทิ ไนท์วิชชันและวิชชันแอสซิส (Night Vision and Vision Assist) ซึ่งมีระบบแจ้งเตือนสัตว์ป่าและคนเดินเท้าทั้งกลางวันและกลางคืน; ผู้ช่วยความตื่นตัว (Alertness Assistant) ซึ่งเป็นระบบกล้อง 4 ตัว ที่ให้มุมมองรอบทิศ ทัศนวิสัยที่ครอบคลุม รวมถึงภาพมุมสูง; แอคทีฟครูซคอนโทรล (Active Cruise Control); แจ้งเตือนการปะทะ (Collision Warning); แจ้งเตือนการจราจรโดยรอบ (Cross-Traffic Warning); แจ้งเตือนการเปลี่ยนช่องทางเดินรถ (Lane Departure and Lane Change Warning); การแสดงข้อมูลบนกระจกหน้าความละเอียดสูงขนาด 7×3; WiFi Hotspot และแน่นอนว่ามีระบบนำทางและระบบเครื่องเสียงรุ่นล่าสุด
ส่วนผู้ที่ไม่ได้ถือพวงมาลัยก็จะได้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันสวยงามท่ามกลางความหรูหราและเงียบสงบ ด้วยที่นั่งสไตล์พาวิลเลียนของ โรลส์-รอยซ์ ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังจะอยู่สูงกว่าผู้ที่อยู่ด้านหน้าของรถ ทำให้สามารถเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างชัดเจนผ่านหน้าต่างข้างอันกว้างขวางและหลังคาแก้วอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมของคัลลิแนน หากพวกเขาต้องการจะหาพิกัดของตัวเองหรือพิกัดของสถานที่ที่เพิ่งค้นพบล่าสุด ก็สามารถดูได้จากจอทัชสกรีนสำหรับเบาะด้านหลัง ผู้เดินทางสามารถวางใจได้ว่าจะไม่พลาดการถ่ายรูปในทุกโอกาสเนื่องจากสามารถชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านพอร์ตยูเอสบีรอบ ๆ ห้องโดยสาร อีกทั้งยังสามารถชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายที่ด้านหน้าของห้องโดยสาร เมื่อเดินทางมาถึงจุดที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน พวกเขาก็พร้อมที่จะลงไปเพลิดเพลินไปกับการเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่
เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V12 ขนาด 6.75 ลิตร ของโรลส์-รอยซ์ใหม่ให้กำเนิดแรงบิดในระดับที่เหมาะสม (850Nm) ณ รอบต่ำสุด (1,600rpm) ทีมวิศวกรของ โรลส์-รอยซ์ ได้รังสรรค์สมรรถนะของสถาปัตยกรรมแห่งความหรูหราให้สามารถพาผู้ขับขี่รถยนต์ โรลส์-รอยซ์ ยุคใหม่ไปยังทุกหนแห่งอย่างหรูหรา
ฟ
ระบบช่วงล่างจะทำการคำนวณหลายล้านครั้งต่อวินาทีเพื่อส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ไปปรับสมดุลให้กับระบบตัวหน่วงการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง โดยการตอบสนองต่อน้ำหนักผู้ขับขี่ อัตราการเร่ง การบังคับพวงมาลัย และข้อมูลจากกล้อง
ระบบรองรับหน้าแบบดับเบิลวิชโบนและระบบรองรับด้านหลังแบบ 5 ลิงก์แบบใหม่ทำให้เข้าโค้งได้อย่างนุ่มนวล มีความคล่องตัวสูงและเกาะถนนอย่างดีเยี่ยม บวกกับพวงมาลัยควบคุมสี่ล้อ ทั้งหมดนี้ทำให้เป็นรถที่มีสมรรถนะในการขับขี่ที่เป็นเลิศในขณะที่ผู้โดยสารนั่งได้อย่างสบายไม่ว่าสภาพเส้นทางจะเป็นอย่างไร ในกรณีที่ขับขี่ออฟโรด ระบบปรับหน่วงแรงที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์จะให้ระบบอัดอากาศดันล้อที่ไม่เกาะถนนลงไปด้านล่างเพื่อเป็นการทำให้แน่ใจว่าล้อทุกล้อสัมผัสกับพื้นและได้รับแรงบิดอย่างเต็มที่